Showing posts with label brainfood. Show all posts
Showing posts with label brainfood. Show all posts

กลอนดีๆ เสริมสร้างกำลังใจ

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ 

ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า

อย่ามองแต่ฟ้า . . . ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน 

ที่มา เปิดเจอให้มหาสมุทรของ FW เมลล์ขยะ

จุดอ่อนคนไทย 10 ประการ

1. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ  หน้าที่ต่อสังคม  เป็นประเภทมือใคร ยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออกขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตา มหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชี โรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา หรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากร ประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6.  การบังคับ กฎหมายไม่เข้มแข็ง  และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการ ตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7.  อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไป เกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็นจีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวที การค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม


ที่มา ความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์

"ให้อภัย" และ "มองข้ามความผิดพลาด" บ้าง

ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนผมได้ email ฉบับหนึ่งซึ่งเชิญชวนให้ผมเข้าไปติเตียนการทำงานของพนักงานใหม่ของร้าน 108 สาขาสถาบัน AIT ในกระดานสนทนาของร้าน 108 ครับ

เมื่อผมเข้าไปในกระดานสนทนาดังกล่าวได้พบว่ามีผู้เข้ามาติเตียนมากมายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศเกี่ยวกับการทำงานของน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ เช่น ทอนเงินผิดพลาด, ทำงานไม่กระฉับกระเฉง, คุยโทรศัพท์, แอบหลับตอนดึกๆ, ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริงครับ จากคำติเตียนเหล่านั้นน้องเค้าก็โดนเจ้าของร้านเรียกตัวเข้าไปตักเตือนตามระเบียบ หลังจากนั้นมาผมก็เห็นน้องเค้าปฏิบัติตัวดีขึ้นนะครับแม้ว่าจะยังทำบางอย่างผิดพลาดก็ตาม

ผมเห็นใจน้องๆพนักงานนะครับ น้องเค้าก็เป็นคนต่างจังหวัด เรียนก็ไม่ได้สูงมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ แต่ต้องมาทำงานในสถาบันต่างชาติ ก็มีความกดดันพอสมควรครับ ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ซื้อได้แต่เติมไม่เป็น บางคนก็ไม่รู้ว่าจะซื้อยี่ห้ออะไร แล้วจะให้น้องพนักงานเค้าเติมให้ เค้าก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำอะไรเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าตอนไหนมีคนไทยใจดีช่วยแปลให้ก็สบายไป ถ้าตอนไหนไม่มีก็ซวยครับ บางคนซื้อผิดก็มาด่าทีหลัง เช่น ยี่ห้อนี้โทรไปเมืองนอกไม่ได้ ซื้อผิดเครือข่ายเลยเติมเงินไม่ได้ ขอคืนเงิน และอีกมากมายครับ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เช่น ทอนเงินผิดพลาด ขาดไปบาทสองบาทหรือมากกว่านั้น ผมก็มองว่าน้องเค้ายังใหม่กับอาชีพนี้และเวลามีคนมาซื้อเยอะๆก็พลาดกันได้ ก็บอกน้องเค้าได้ครับว่าทอนผิดนะ บางทีเห็นมีมาบ่นว่าน้องเค้าขอเงินทอนบ้างซึ่งไม่กี่บาท ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ด่ากันให้กระทู้แตก ที่น้องเค้าขอก็เพราะว่าน่าจะทอนเงินเกินให้คนอื่นครับแล้วทำให้เงินขาดไป ทำให้ต้องหาเงินมาเติมให้ครบครับ ซึ่งเค้าก็หวังว่าจะมีคนใจดีมาช่วยเค้า ซึ่งก็ "ไม่มี" ที่สถาบันฯ แห่งนี้

ผมก็ได้พูดคุยกับน้องเค้าบ้างนะครับ นอกเหนือจากการสู้รบตบมือกับลูกค้าหลากชาติแล้ว น้องเค้ายังต้องทำยอดขายด้วย เช่น บางครั้งน้องเค้าก็ขอร้องให้ผมช่วยซื้อน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งซึ่งวันนี้ต้องการให้ได้ 20 ขวด ไม่เช่นนั้นจะโดนหักเงินเดือน หรือไม่ก็สัปดาห์นี้ต้องมียอดขายรวมมากกว่า 7 หมื่น ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันนะครับ เงินเดือนของน้องๆเค้าก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย อาจจะได้แค่ชั่วโมงละ 30 กว่าบาทหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่เราก็อยากให้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานได้ไร้ที่ติ และสุภาพ

ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ไปจ้างศาสตราจารย์ปริญญาเอกมาขายเถอะครับ แต่คงจ้างไม่ได้ด้วยเงิน 30 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน

"สำหรับผมน้องเค้าก็เป็นชาว AIT คนหนึ่ง ผมคิดว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ช่วยเหลือกัน คุยกันได้ และพร้อมที่จะให้อภัยกันได้เสมอ"

เมื่อเร็วๆนี้น้องเค้าก็โดนชาวต่างชาติและคนไทยติเตียนอีกรอบด้วยเรื่องที่น่าจะให้อภัยกันได้ คราวนี้ได้เรื่องเลยทีเดียว น้องเค้าต้องออกจากงานครับ คำว่าออกจากงานคือ โดนไล่ออกนะครับไม่ได้ถูกย้ายไปสาขาอื่น ซึ่งน้องเค้าจะทำงานวันที่ 10 มิถุนายน นี้เป็นวันสุดท้าย วันนี้ผมไปซื้อของก็เห็นน้องเค้าน้ำตาซึมและดูเศร้ามาก ซึ่งผมก็เสียใจกับน้องเค้าจริงๆ

หลังจากวันที่ 10 น้องเค้าจะไปทำอะไรครับ?
จะหางานใหม่ได้หรือไม่ก็ไม่มีใครรู้?
แล้วน้องเค้าต้องมีใครให้เลี้ยงดูหรือเปล่า?
มีใครเคยคิดบ้างไหมว่าคำพูดและการกระทำของเราทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน?
เราเห็นแก่ประโยชน์และความพอใจของตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่นหรือไม่?

บางคนอาจจะคิดว่าทำอาชีพบริการทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็คิดว่าถูกครับ แต่น้องเค้าก็กำลังปรับตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น



การให้อภัยและมองข้ามความผิดพลาดเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าทำให้คนอื่นเค้ามอง AIT ว่าเป็น "สถาบันของปัญญาชนใจแคบ" เลยครับ

หลังจากทำบุญแล้วพระสงฆ์จะให้พรตอนกรวดน้ำ มาดูดีกว่าว่ามีความหมายว่าอย่างไร?

ไปทำบุญมาบ่อยๆ เกิดอยากรู้ว่าบทกรวดน้ำมีความหมายว่าอย่างไร เรยไปค้นหามาครับ

บทอนุโมทนารัมภคาถา เป็นการที่พระสงฆ์กล่าวก่อนที่จะเริ่ม บทสามัญญานุโมทนาถาคา ซึ่ง เป็นบทที่พระสงฆ์อนุโมทนาบุญที่อุบาสกอุบาสิกาได้บำเพ็ญไปแล้ว

บทอนุโมทนารัมภคาถา

ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยัง สมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ ฉันใด

เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้, ย่อมสำเร็จประโยชน์ แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น.

อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง
ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว

ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
จงสำเร็จ โดยฉับพลัน

สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา
ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่

จัน โท ปัณณะระโส ยะถา
เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ

มะณิ โชติระโส ยะถา
เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดีฯ


บทสามัญญานุโมทนาถาคา

สัพ พีติโย วิวัชชันตุ
ความ จัญไร ทั้งปวง จงบำราศไป

สัพพะ โรโค วินัสสะตุ
โรค ทั้งปวงของท่านจงหาย

มา เต ภะวัตวันตะราโย
อันตรายทั้งปวง จงอย่ามีแก่ท่าน

สุขี ทีฆายุโก
ขอท่านจงมี ความสุขและมีอายุยืน

ภะวะ อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง
บุคคลผู้มีปกติไหว้กราบ เป็นนิตย์

วุ ฑฒาปะจายิโน จัตตาโร
มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่

ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ
ย่อมเจริญด้วยธรรมะ สี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สัตบุรุษย่อมให้ทาน เช่น ข้าวปลาอาหารและน้ำที่สะอาด แก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อยู่เป็นนิจ"

ว่าด้วยคุณค่า

คนโง่ ยึดความชอบหรือความไม่ชอบเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับความสุขและความทุกข์อันบีบคั้นเป็นของตอบแทน


คนฉลาด ยึดความถูกต้องและความผิดเป็นสำคัญ เขาจึงมีหลักการแต่ได้รับศัตรูต่างความคิดเห็นเป็นรางวัล

คนเจ้าปัญญา ยึดประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศรัทธาและมหามิตรเป็นกำนัล

จาก The Foolish, The Clever, The Wise

ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย", "ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก - คิดเป็น ทำเป็น"

เอามาให้ฟังกันตอนว่างๆ ครับ

พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและประธานมูลนิธิไทยคมได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง " อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย", "ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก - คิดเป็น ทำเป็น" เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2551 ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ถนนสุขุมวิท กทม



โดยส่วนตัวแล้วผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง "อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย" จนจบครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของมูลนิธิไทยคมครับ เป็นหนังสือที่รวมการบรรยายต่างๆ ของ พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ด้านการศึกษาของประเทศไทย สรุปใจความที่สำคัญของหนังสือก็คือการปฏิวัติการศึกษาของประเทศไทยครับ ท่านต้องการให้เด็กไทย "คิดเป็น ทำเป็น" เพื่อที่จะได้ฟื้นฟูประเทศไทยที่กำลังย่ำแย่ให้กลับมาแข่งขันกับชาติอื่นๆ ได้ในโลกปัจจุบันที่ต่อสู้กันด้วย wisdom(ปัญญา) ไม่ใช่ต่อสู้ด้วย wealth (ความมั่งคั่ง) และ Prestige (ศักดิ์ศรี) เหมือนในอดีต

ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...