ตัดสินใจเลือก Ruby on Rails ทำโปรเจค ดีแล้วหรือ?

ผมอยากเขียนบทความนี้ให้ Geek ทั้งหลายได้อ่านครับ

Geek ในความหมายของผมคือ เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ิสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เป็นผู้ที่พยายามศึกษาสิ่งนั้นให้ละเอียดที่สุด เป็นผู้ที่พยายามชักชวนผู้อื่นให้คลั่งไคล้สิ่งนั้นเหมือนตนเอง และสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ใครมาว่าไม่ได้เลยนะครับ คนพวกนี้จะพยายามหาข้อดีมากลบข้อเสียของสิ่งนั้นๆซะหมด ไปเถียงเขาอย่างไรก็ไม่ชนะหรอกครับ

อธิบายเรื่อง Geek ยาวไปแล้ว บางท่านอาจจะถามผมว่า ลองยกตัวอย่าง "สิ่งนั้น" ที่ผมพูดถึงมาหน่อย....ได้ครับ สมมุติว่าสิ่งนั้นคือภาษาโปรแกรมใหม่ภาษาหนึ่ง ยกตัวอย่างไอ้ที่มันแรงๆตอนนี้ละกันครับ Ruby on Rails

ผมมีโอกาสได้ศึกษา Ruby on Rails เพื่อพัฒนา Web Application มาได้สักระยะแล้วครับ ผมพบว่ามันเป็นภาษาที่มี Architecture ที่ดีมากครับ โครงสร้างของโค้ด Ruby ที่คุณเขียนจะเป็น MVC (Model-View-Control) โดยอัตโนมัติครับ(หรือจะเรียกว่าโดยบังคับดี?) ส่วนโครงสร้างของภาษาก็เข้าใจง่ายครับ ประมาณว่า อาม่าของผมก็อ่านโค้ดง่ายๆ พอเข้าใจว่ามันทำอะไร ถ้าจะให้ยกตัวอย่างนะครับโค้ด Ruby บรรทัดเดียวอาจจะมีความหมายเท่ากับโค้ด php 5 บรรทัดหรือมากกว่า บางคนเคยเขียนภาษาที่ใช้พัฒนา Web Application อื่นๆ มาก่อน เช่น php, jsp, asp เป็นต้น พอได้มาสัมผัสกับ Ruby on Rails ส่วนมากก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"โอ้! Ruby ดีจังเรย โค้ดเป็นสัดเป็นส่วนดี โครงสร้างก็เยี่ยม ทำไมเมื่อก่อนเราถึงได้ใช้ php ที่แสนจะอัปลักษณ์ทำเว็บนะ รู้สึกแย่จริงๆ"

จุดมันอยู่ตรงนี้ครับ อะไรที่เป็นตัวตัดสินว่าภาษาไหนแย่กว่ากันครับ? ทำไมคนถึงคิดว่า Ruby on Rails ดีกว่า php ล่ะ สมมุตินะครับ...แค่สมมุตินะ ถ้าคนเราเริ่มเรียน Ruby on Rails ก่อน php ล่ะ จะบอกว่า php ง่ายกว่าไหม? ดีกว่าหรือเปล่า? พวก Ruby Geek ทั้งหลายก็คงบอกว่า "ไม่" สินะครับ นั่นนะสินะ พวกคุณเป็น Ruby Geek นี่ ผมจะเถียงคุณได้อย่างไรเล่าครับ...จริงไหม?

จริงๆถ้าผมเรียน Ruby ก่อน php นะครับ ตามความรู้สึกผม ผมอาจจะคิดว่า php เป็นภาษาที่ไร้สาระก็ได้ แต่ผมก็ไม่ลืมนะครับว่าภาษาแรกที่สอนการส่ง http request แบบ GET กับ POST ให้ผมก็ php นี่แหละ...เอาล่ะครับ ขอกลับมาเรื่องเดิมก่อน ผมแค่อยากจะบอกว่าเมื่อคุณเรียน Ruby ไปแล้วมีความรู้สึกว่า Ruby มันดี php มันแย่ เมื่อไร นั่นหมายความว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นไม่ใช่ Ruby ครับ แต่เป็นตัวคุณต่างหาก! หากให้คุณกลับไปเขียน php ที่คุณเคยเขียนเมื่อหลายปีก่อนใหม่อีกรอบ คุณก็คงไม่เขียนแบบเดิมแล้วใช่ไหมครับ? ส่วนเด็กๆที่หัดเขียนโปรแกรมโดยใช้ Ruby เป็นภาษาแรก เค้าก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันดีกว่ายังไง หรือ MVC คืออะไร

ผมยอมรับนะครับว่าเมื่อคุณเข้าใจ Ruby on Rails ในระดับหนึ่ง คุณอาจจะอยากใช้มันทำโปรเจคทุกอย่างที่คุณได้รับมอบหมายมา แต่สำหรับผมที่เริ่มชีวิตโปรแกรมเมอร์ด้วย JavaScript, C++, C, Java, VB, php ตามลำดับ เมื่อมาเรียน Syntax ของภาษา Ruby ทำให้เรียนยากมาก จะเขียนอะไรแต่ละอย่างก็ต้อง search google เพราะว่า Syntax ของมันเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์จริงๆ พวก Geek มักจะชอบพูดเสมอว่า

"Ruby can do that just in 1 line of codes."

โอเคครับ! ผมไม่เถียง เพราะเป็นเรื่องจริงครับ แต่ไอ้เพราะ 1 line of codes นี่แหละ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันทำอะไร ผมวัด Complexity ของ Code ที่ซ่อนอยู่ไม่ได้ ไม่รู้เลยว่ามันมีประสิทธิภาพหรือเปล่า? แต่ Geek ทั้งหลายก็บอกว่ามันดีแล้วนะครับ ผมก็คงเถียงท่านๆเหล่านั้นไม่ได้

เทอมการศึกษานี้ผมมีโปรเจคที่เป็น Web Application อยู่สามชิ้นครับ

ชิ้นแรกเป็นงานกลุ่มครับ ต้องใช้ Ruby on Rails ครับ(เลือกไม่ได้ คือ จริงๆเลือกได้ครับ แต่ต้องใช้ Ruby on Rails ครับ เพราะเป็น Social norm ไปแล้ว) ปัญหาเยอะมาก เพราะคนในกลุ่มรวมถึงผมด้วย ไม่มีใครชำนาญ Ruby เลยสักคน จะทำอะไรทีก็เสียเวลาสุดๆ

ชิ้นที่สองเป็นโปรเจคกลุ่มอีกเหมือนกันครับ แต่บังเอิญโค้ดเป็นอยู่คนเดียว เลยเลือกใช้ php ครับ เพราะกว่าจะเรียนรู้ Ruby ให้กระจ่างพอเอาไปเขียนโปรเจค(ให้ดี)ได้ ก็อีกนานครับ เลย Deadline ส่งงานพอดี โปรเจคนี้เน้นการใช้ Database ครับ ไม่เน้นเว็บ

โปรเจคสุดท้าย ต้องเีขียนโปรแกรมดึงข้อมูลออกมาจากเว็บครับ เป็นงานกลุ่มอีกเช่นกัน มีเวลาสองอาทิตย์ เลือกใช้ JSP Servlet ครับ เพราะทุกคนในกลุ่มชำนาญ Java ยิ่งนัก ประกอบกับเวลาที่สั้นมากเลยตัดสินใจใช้ภาษานี้ครับ

เวลาที่ผมเลือกเทคโนโลยีที่มาใช้ทำโปรเจค ผมจะคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ครับ
  1. ความชำนาญของตนเองและเพื่อนร่วมทีม
  2. เวลาที่ใช้ในการเรียนรู้เืทคโนโลยีใหม่
  3. ระยะเวลาในการทำโปรเจค
  4. การสนับสนุน (เช่น help support)
  5. โปรเจคจะไป Deploy ที่ environment แบบไหน (Hosting ส่วนมากในไทยไม่ Host Ruby นะครับ ถ้าทำเว็บที่ใช้ในประเทศไทยแล้วไป Host ที่เมืองนอก บอกได้เลยว่าดับครับ ดับ!)
  6. อายุและความสำคัญของงาน (งานที่มีอายุสั่น ไม่ต้อง Maintainance ไม่ใช่ Critical System ก็ไม่ต้องไปลงแรงกับมันมากครับ)
  7. ความต้องการของลูกค้า
  8. ความเข้ากันได้ของ 3rd party Plugins ต่างๆ
สุดท้ายผมเชื่อเสมอนะครับว่า

คนส่วนมากจะตามกระแสและยัดเยียดเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในโปรเจคทั้งๆ ที่ไม่พร้อม แต่คนฉลาดจะเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโปรเจคนั้นๆ

...จบครับ...

Code Review vs. Code Inspection

We have been heard of Code Inspection and Code Review from software engineering theory. These two terms sound similar to each other but actually have different aspect as

Code Inspection is focused on verifying your source code corresponds to coding standard, rules, and guidelines.

Code Review aims to finding defects, bugs, and refactoring the code.

Fact about Mayan prediction the end of the world, 21 December 2012

I did so many researches over the internet and finally I found that


Yeah, they just ran out of the rock. And hopefully it was true.

Have a good night :D

Images used in this blog

Hosting images at photobucket, sometime my blog takes a long time to load. I decided to post all images used here :D







and




This post is nothing :P just put all my blog images to google. It seemed like I could post all images to my picasa account but was lazy to do so

To those who love Ruby on Rails

"I admire the hell out of the Rails core gang that actually understand every line inside Rails itself. But I don’t. And I’m sure I will never use 90% of it.

With my little self-made system, every line is only what’s absolutely necessary. That makes me extremely happy and comfortable."

Found this quote from http://www.oreillynet.com/ruby

Shorter code != Better program

Why Windows is better than Linux?

Found a good article....just moment ago

Here is why Windows is better than Linux(e.g.Ubuntu).
  1. Installing programs is easy with windows because there is a standard. Try installing VLC and you'll see what I mean.
  2. Anytime you try to install or change something on your own computer you have to type a password. And god forbid you run the program in root, then you get every warning that exists.
  3. Installing anything good in Linux requires an entire weekend ending up in learning how to reinvent the wheel.
  4. To truly use any Linux distribution your going to have to either take classes in how Linux works or spend time reading a lot of books and forums.
Linux is good because it is free and good for ones who love using command line.

The truth is Windows has driven the world going.

Is AIT Heaven or Hell?

I have joined Asian Institute of Technology, Thailand(AIT) as a Master's student at the school of Science Engineering and Technology(SET)

I have been granted GMSARN scholarship which pays for all my fees and my living here but I must delicate 10% of my time to work for GMSARN project.

I live with 2 of friends from SIU in a house at the student village 1. The house has 3 bedrooms which none of them has AC. Early living there was very uncomfortable but now it is fine.



We can find many restaurants in AIT. Basically you can eat in any restaurant but the cafeteria. Why?

Cafeteria is the biggest canteen in AIT which is now operated by Sodexo(a company which manages all facilities here)



If you are happy with tasteless noodle menu, rice menu with less meat, and very expensive food. You should have your meal here. A certificate that the cafet should deserve ' is CLEAN FOOD, TERRIBLE TASTE. If ministry of health reads my block, please consider issue it the certificate.

Tired now...

Wish you all a good day :)
Nopash

Workaround for Google base "Missing required attribute: condition" for eBay feed

Problem

As the Google base has required condition attribute since June 30, sellers cannot upload their eBay store feed to it. It will give an error "Missing required attribute: condition".

Cause

There is no <g:condition> attribute in the eBay feed.

Solution

A. Download the xml file with your store listings:
Download your store feed and save as an xml file
http://esssl.ebay.com/GetListings/yourstorename?fmt=g

or

1. go to My eBay -> Manage my store
2. on the left Marketing tool menu, click Listing feeds
3. Find the line

Your Google Base-specific file will be located at http://esssl.ebay.com/GetListings/your_store_name?fmt=g

4. right click on the link and select 'save link as' or (save target as in IE) then change the extension of the file to .xml instead of .htm and save it to your computer.


B. Edit the downloaded XML file
1. Right click on the downloaded XML file and select "Open With" then select Notepad.
2. In Notepad, press Ctrl-H to open the find & replace box. Enter "condition>" in the find field and "g:condition>" in the replace field (exclude the quotation marks). Click Replace all.
3. Save the file with File --> Save.

This section is not done yet because
the "g:condition" attribute the only acceptable values are "new", "used" and "refurbished." but eBay values can be "used", "pre-owned", "like new", "very good", "good", "acceptable", "see description" etc.

You have to replace all of the incompatible values with either
"new", "used" and "refurbished." otherwise you cannot insert the items with incompatible attribute into Google Base.

Suppose I want to replace all "see description" as "new". I would press
Ctrl-H to open the find & replace box. Enter "<g:condition><!--[CDATA[see description]]--></g:condition>" in the find field and "<g:condition><!--[CDATA[new]]--></g:condition>" in the replace field (exclude the quotation marks). Then click Replace all.

C. Upload your edited XML file to Google
1. Login to your existing Google Base account.
2. Click tab "Data Feeds"
3. Click link "Manual: Upload File"
4. Point Google to the XML file that you have edited it in B.


Now you should see no error :)

If you think this article is helpful, please kindly buy me a cup of coffee :)




Best,
Nopash

Visit my eBay store at www.eDecalShop.com

เนิร์ด (Nerd) vs กี๊ก (Geek) vs ดอร์ก (Dork)

วันนี้มีคำศัพท์มาฝากกันครับ เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับพวกกลุ่มคนเฉพาะ

เนิร์ด (Nerd) หมายถึง กลุ่มคนที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆก็คือฉลาดกว่าคนทั่วๆไป และชอบในเรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่สนใจกัน ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งคำนี้จะใช้กันแพร่หลายที่สุดในอเมริกา ภาพลักษณ์ของพวกเขาก็คือ นึกภาพคนใส่แว่นหนาเตอะ ขลุกอยู่กับกองหนังสือทั้งวันนั้นแหละใช่เลย แต่ภาพลักษณ์ด้วยส่วนมากก็จะเป็นชายหนุ่มใส่แว่นหนากรอบดำ มีไม้โปรเทกเตอร์ติดกระเป๋า ใส่ชุดที่เป็นทางการมากเกินไป และบางครั้งภาพที่ออกมาก็เป็นคนที่ไม่รักษาความสะอาด และถ้าไม่ผอมก็อ้วนเกินไป เป็นคนเข้าสังคมไม่เก่ง ไม่สามารถสนทนาเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเทคนิคกับคนอื่นๆได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เวลม่า ดิงก์เลย์ ในเรื่อง สกูบีดู Tobey Maquire ในบท Peter Parker จาก Spider man Emma Wattson กับบท เฮอร์ไมโอนี่ ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์

นอกจากนี้ยังมีศัพท์ที่ใกล้เคียงกับ เนิร์ด ดังนี้

กี๊ก (Geek) ตอนนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ระหว่างคำนี้กับ เนิร์ด เพราะทั้งสองคำมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่สรุปแล้วกี๊กนั้นดูเป็นเฉพาะกลุ่มมากว่าเนิร์ด เพราะว่าเขาสนใจในสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้ เช่น พวกบ้าเกมส์ บ้าคอมพิวเตอร์ บ้าวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจเรื่องแฟชั่น จึงออกแนวเชยๆ ไม่ทันสมัย

ดอร์ก (Dork) เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างแตกต่างกับสองกลุ่มข้างบน เพราะมีลักษณะที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะดอร์กจะออกแนวเป็นคนที่ซุ่มซ่าม เป๋อ กะเปิ๊บกะป๊าบ ไปที่ไหนก็จะสร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ ด้วยความเฉิ่มและตลกของพวกเขานี้เอง

เอามาจาก wikipedia

สัญลักษณ์ i'm บน Windows Live Messenger




i’m is a new initiative from Windows Live™ Messenger. Every time you start a conversation using i’m, Microsoft shares a portion of the program's advertising revenue with some of the world's most effective organizations dedicated to social causes. We've set no cap on the amount we'll donate to each organization. The sky's the limit. So any time you have an i’m™ conversation using Windows Live Messenger, you help address the issues you feel most passionate about, including poverty, child protection, disease, and environmental degradation. It's simple. All you have to do is join and start an instant messaging conversation. We'll handle the donation.

คือไม่เคยสนใจจนกระทั่งวันนี้ครับ สรุปความหมายจากย่อหน้าข้างบนน่ะครับ คือเมื่อคุณเล่น windows live messenger แล้วคุณใส่สัญลักษณ์นี้แสดงขึ้นในส่วนของ display name ของคุณ Microsoft ก็จะเอากำไรส่วนหนึ่งของค่าโฆษณาที่ได้ มาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่คุณได้เลือกไว้ครับ

วิธีใส่ i'm หน้าชื่อ display ก็แสนจะง่ายครับ ขั้นแรกเรามาดูโค้ดกันก่อน

Text Code Cause
*red+u American Red Cross
*bgca Boys & Girls Clubs of America
*naf National AIDS Fund
*mssoc National Multiple Sclerosis Society
*9mil ninemillion.org
*sierra Sierra Club
*help StopGlobalWarming.org
*komen Susan G. Komen for the Cure
*unicef The US fund for UNICEF

สมมุติว่าผมต้องการบริจาคให้ National AIDS Fund ผมก็ตั้งชื่อ display ของผมว่า

*naf Nopash

ก็จะเห็นเป็น

i'm Nopash ครับ

ทีนี้พอผม Online ขึ้นมา รายได้ส่วนหนึ่งจากค่าโฆษณาที่ MS ได้ก็จะไปบริจาคให้ National AIDS Fund แล้วล่ะครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขนะครับ

PHP Class Structure

โพสเก็บไว้ เผื่อใช้อ้างอิงตอนหลัง PHP class structure ครับ
class Page {
var
$Title;
var
$Keywords;
var
$Content;

function
Display( ) {
echo
"\n\n";
$this->DisplayTitle( );
$this->DisplayKeywords( );
echo
"\n\n\n";
echo
$this->Content;
echo
"\n\n\n";
}

function
DisplayTitle( ) {
echo
"<title>" . $this->Title . "</title>\n";
}

function
DisplayKeywords( ) {
echo
'<meta name="keywords" content="">. $this->Keywords . '">';
}

function
SetContent( $Data ) {
$this->Content = $Data;
}
}

Now, at first glance this looks pretty simple. And you know what? It is. Its just basic PHP code wrapped into a class. Let me point a few things out before we go any farther though.

VAR -
All variables declared in the class must be placed at the top of the class structure, and preceeded with the VAR statement.

$THIS -
$this is a variable that incidates the current object. That way, the object knows how to find itself while running functions contained within it.
For instance, $this->Keywords gets the data from the $Keywords variable in the object. You'll also notice that when using variables contained
within a class, you can't use the $ to reference them - But you have to use it to reference the object itself.

โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ Qwerty Tummy

ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนยุคสมัยนี้ ถึงแม้จะให้คุณอนันต์ แต่ว่าคอมพิวเตอร์ก็มีโทษเหมือนกัน ล่าสุดที่ทำให้ตกใจกันทั่วคือ เมื่อนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้น เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอันตราย มากกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า!!! และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโรคที่เกิดเพราะคอมพิวเตอร์

* ท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด
โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดว่า Qwerty Tummy อาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ และผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ดเครื่องคอมพ์ด้วย

การ ศึกษาครั้งนี้ แสดงว่าคีย์บอร์ดเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัวด้วยคนทำงาน 1 ใน 10 ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์ ขณะที่ 50% ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือน นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ ที่พนักงานต้องย้ายโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า ใครใช้คีย์บอร์ดที่กำลังใช้อยู่และใช้งานอย่างไรบ้าง

ทางแก้ไขคือ
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จึงควรทำทั้งที่บ้านและที่ทำงานควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย

วิธีการคือ
ทำความสะอาดด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ ที่สำคัญคือ อย่าลืมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อน

โรคอื่นๆ อีกมากมาย
คอมพิวเตอร์จะไม่เป็นอันตราย หากว่าคุณไม่ใช้มันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งหมายความว่า นั่งจมจ่อมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบจะตลอดวันและทุกวัน คนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ้างเป็นบางครั้งคราวย่อมไม่ได้เจ็บป่วยเพราะคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละคนก็จะได้รับผลกระทบจากเครื่องใช้ไฮเทคนี้มาก-น้อยช้า-เร็วไม่เหมือนกัน หลายๆ อาการเจ็บป่วยจากคอมพิวเตอร์นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่บางครั้งก็หลงลืม ลองมาทบทวนกันดูหน่อยดีไหม

ปวดตา :
เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ตาต้องจ้องจอสว่างๆ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพสายตา จึงควรระวังแสงที่จะส่องตรงมาโดยเฉพาะแสงจากด้านหลังของจอคอมพิวเตอร์ ควรให้แสงเข้ามาด้านข้าง (ด้านขวาก็จะดี) ถ้าเป็นไปได้ให้ติดแผ่นป้องกันรังสี รวมทั้งปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับดวงตา การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดตาเท่านั้น แต่อาจเป็นสาเหตุของโรคต้อหินในอนาคตด้วย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่สายตาสั้น นอกจากนี้ จอคอมพิวเตอร์ที่สั่นไหวหรือเป็นคลื่นนั้นควรจะยกไปซ่อมซะ ควรละสายตาจากจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราวกะพริบตาเป็นระยะ เพราะดวงตาของคุณต้องการความชุ่มชื้น

โรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ :
ปรับ ระดับความสูงของเก้าอี้หรือโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90-100 องศา วางคีย์บอร์ดให้เหมาะ เวลาใช้คีย์บอร์ดจะได้ไม่ต้องงอมือให้อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบาย ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น ควรพิมพ์คีย์บอร์ดและใช้เมาส์อย่างเบามือ ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายข้อมือและนิ้วบ้างหากสามารถทำงานด้วยวิธีการอื่นโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและทำซะ

หรือจะซื้อแบบผมมาใช้ก็ได้นะ Microsoft Natural Ergonomic Desktop 7000

Natural Ergonomic Desktop 7000

ปวดคอและหลัง :
สำรวจ ท่านั่งเวลาทำงานของตัวเอง ควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 18-24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อ สามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขน โต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่นๆ ในการทำงาน

และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์เมื่อ เราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่งใกล้จอเกินไป โดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้องนั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซีถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสีไฟฟ้าออกมา แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ปลอดภัยกว่าหากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน

รู้แล้วก็ลงมือทำซะวันนี้ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ฆ่าเราทันทีทันใดแต่คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถ้าเราไม่เสี่ยงกับการเกิดโรคภัยเหล่านี้เพื่อนๆที่ใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาด พักสายตา ยืดเส้นยืดสาย ขยับร่างกายกันบ้างนะครับ ไม่งั้นโรคถามหาแน่นอน

เอามาจาก Posttoday

ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

การใช้ some time, sometime, sometimes

Some time – Amount of time – ช่วงของเวลา

e.g. It’ll take some time to wash your car

Sometime - One day in the future

e.g. I’ll call you sometime next week

Sometimes - บางครั้งบางคราว

e.g. I sometimes sleep late at night.


โพสไว้ กุลืมบ่อย....

Get more from Gmail address with Gmail Aliases

With your Gmail address, you can get more greater control over your inbox and save your some time and headache. Here are two different ways you can modify your Gmail address and still get your mail:

  • Append a plus (“+”) sign and any combination of words or numbers after your email address. For example, if your name was hikingfan@gmail.com, you could send mail to hikingfan+friends@gmail.com or hikingfan+mailinglists@gmail.com.
  • Insert one or several dots (“.”) anywhere in your email address. Gmail doesn't recognize periods as characters in addresses -- we just ignore them. For example, you could tell people your address was hikingfan@gmail.com, hiking.fan@gmail.com or hi.kin.g.fan@gmail.com. (We understand that there has been some confusion about this in the past, but to settle it once and for all, you can indeed receive mail at all the variations with dots.)

For example you could use hikingfan+bank@gmail.com, when you sign up for online banking and then set up a filter to automatically star, archive or label emails addressed to hikingfan+bank. You can also use this when you register for a service and think they might share your information. For example, I added "+donation" when I gave money to a political organization once, and now when I see emails from other groups to that address, I know how they got it. Solution: filtered to auto-delete.

Find out who gives away your email address with Gmail trick

When you give your email address to a website, you hope that they don't sell or trade your address to a bunch of spammers. Well if they do, here is a simple way to see what sites are responsible for what particular piece of email. This requires you have a Gmail account.

If your Gmail login name was username@gmail.com and you went to samplesite.com to fill out a registration form, instead of just entering username@gmail.com as your email, enter it as username+samplesitecom@gmail.com instead. When Gmail sees a "+" in an email address, it uses all the characters to the left of the plus sign to know who to send it to. In this example it would still send it to username@gmail.com.

Now whats cool is if you search Gmail for username+samplesitecom, you will see all massages that were sent to that email address.

To see who is responsible for sending a specific message click the Show Details link and you will see the complete address.

info:http://www.ditii.com

Gmail login access URLs

Gmail login access URLs:
  1. http://www.gmail.com/ – The public Gmail domain which is for universal access on PC or mobile device. Although the page is non-SSL, the login process is secured.
  2. https://www.gmail.com/ – The Gmail SSL universal login page for computer or mobile browsers.
  3. http://mail.google.com/mail/ – Gmail canonical URI which is the URI you most likely to see after login to Gmail webmail interface. This URL can be used on PC as well as portable mobile phone devices. It becomes simple HTML mode depending on the browser used to access it.
  4. https: //mail.google.com/mail/ – Same as above, but the secure SSL version.
  5. http://gmail.google.com/gmail/ – Old canonical URI.
  6. https://gmail.google.com/gmail/ – Old canonical secure SSL URI.
  7. https://mail.google.com/mail/?nocheckbrowser – Force Gmail to load in standard interface without checking for the type of web browser. Normally Gmail will check for supported browser, and if none is found, it will automatically load with simple Basic HTML interface mode.
  8. http://gmail.google.com/gmail?nocheckbrowser – Old URI or link location of the above.
  9. https://mail.google.com/mail/?nochat – Force Gmail to load in Standard Gmail interface without chat services.
  10. https://gmail.google.com/gmail/?nochat – Old URL of the above.
  11. http://mail.google.com/mail/h/ – Simple or Basic HTML mode.
  12. https://mail.google.com/mail/h/ – Secure SSL Gmail webmail that automatically load into Basic HTML interface.
  13. http://m.gmail.com – Link for Gmail Mobile interface optimized for portable wireless phone devices or PDA.
  14. http://mail.google.com/mail/x/ – Another link URL for mobile wireless devices.
  15. https://mail.google.com/mail/x/ – Secure SSL edition of the above link.
  16. https://mail.google.com/mail/feed/atom/ – Gmail inbox feed URL for reading with Atom Feed or RSS reader.
  17. Gmail for mobile devices or mobile phones – A Java client app that downloaded to mobile devices and provides advance Gmail user interface, synchronization of emails in mailboxes, and ability to view attachments such as photos, documents and .pdf files.
  18. Gmail also allows POP3 and SMTP access by using desktop email clients.

เป็นไงบ้าง ตอนนี้ทำไรอยู่ รับปริญญาวันไหน ยังขายสติ๊กเกอร์อยู่ป่าว?

ตอนนี้มีแต่คำถามมาถามแบบนี้ครับ ก็จะขอทำเป็น FAQ ไว้เรยแล้วกาน :P

ถาม: เป็นไงบ้าง?
ตอบ: สบายดี ไม่มีไข้ ปอดไม่บวม แต่โดนแดดแล้วจะเป็นลมครับ (เว่อเนอะ)

ถาม: ตอนนี้ทำไรอยู่?
ตอบ: ตอนนี้ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยอยู่ที่ AIT ครับ งานที่ทำก็จะเกี่ยวกับการพัฒนาระบบห้องสมุดครับ อารมณ์ประมาณว่าเอา open sources ต่างๆที่ไม่น่าจะเข้ากันได้มายำรวมกันครับ (แต่สุดท้ายมันก็อยู่ด้วยกันได้เนอะ แปลกดี) นอกจากงาน AIT แล้วก็ยังแอบทำงานอื่นๆ อีกเล็กๆน้อยๆ

ถาม: รับปริญญาวันไหน?
ตอบ: วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2552 ครับ ที่มหาวิทยาลัยชินวัตร วิทยาเขตปทุมธานี งานเริ่มตั้งแต่ 8:30 จนถึงประมาณ 15:00 ครับ สามารถเดินทางมาได้โดยรถยนต์ส่วนตัวครับ

ถาม: ยังขายสติ๊กเกอร์อยู่ป่าว?
ตอบ: ขายครับ ไปซื้อได้นะ www.edecalshop.com

ถาม: ขายดีไหม ได้เดือนละเท่าไร?
ตอบ: ขายได้เรื่อยๆ รายได้พอมีพอกิน

ถาม: ว่างๆมากินข้าวกันนะ?
ตอบ: ครับ นัดมาได้เรย :D

ถาม: แล้วของฝากจากเยอรมันล่ะ?
ตอบ: ไม่มี

ขอให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญครับ
นบ

New contents will come soon!

I have been shitty busy since mid-April. No time to blog.

I have been to Prague(Czech Republic), Zurich+Lausanne+Luzern+Burn(Switzerland), and Florence+Rome+Pisa(Italy). My friends and I took a lot of videos and thousands of photos and I really really want them to be published as soon as I can but...

Alright, I think the new articles will be launch this week(hopefully).

Easter Festival at Ravensburg

Happy Easter! (sorry if it is too late)

Easter is the most important religious feast in the Christian liturgical year. Christians believe that Jesus was resurrected from the dead two days after his crucifixion, and celebrate this resurrection on Easter Sunday, two days after Good Friday.

This year in Germany, the Easter break is 4 days: Apr 10-14. However, some people may take 1 week more off. Saturday after the Good Friday, I went down to the next-closed-big city, Ravensburg, to join the Easter celebration. My first Easter celebration was in New Zealand, I got an Easter rabbit from my host parents. My second Easter was in United Stated, I got nothing :P. This year was my third Easter event.

In Ravensburg, that day, was very lively. I had never seen such this many people in Ravensburg before. There were many activities for kids. All restaurants, outdoor and indoor ones, were crowded. The weather was just excellent, you could walk with wearing only T-Shirt and shorts. I spent half a day for fashion shopping, tried so many clothes but could not find the right one(I had only 30 Euros in my pocket, poor me).

In the late afternoon, I saw a new couple, riding on the horse carriage to celebrate their marriage. People clapped their hands when the carriage passed them. It was the wonderful moment, I was in.

The sakura trees in front of my flat are blooming. They are just beautiful :)



Have a good day and thanks for reading :)

Arthur's 19th Birthday

Yesterday was my roommate birthday. My SIIT friends and we had a hamburger party. The video was the moment that we were singing 'Happy Birthday' song together.

Well, Happy Birthday :)



Have a good day and happy Easter.

เที่ยวปารีสไม่ง้อทัวร์ ใน 3 วัน 3 คืน (Paris Trip)

สวัสดีครับ เพิ่งกลับมาจาก Paris ครับ ก็เลยอยากเล่าประสบการณ์การเดินทางให้ฟังครับ บางคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมถึงเป็น 3 วัน 3 คืน ไม่ใช่ 4 วัน 3 คืน เพราะว่าวันแรกที่ไปถึงมันเย็นแล้วอ่ะครับ อาจจะนับเป็นครึ่งวันได้ แล้ววันสุดท้ายตื่นมาก็ไปที่สนามบินเรยครับ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเรย ขอเริ่มเลยละกันครับ

ก่อนจะเล่าเรื่องของผม ต้องขอเอ่ยถึงแหล่งข้อมูลที่ผมได้มาก่อนครับ ก่อนจะไปปารีส 1 อาทิตย์ ผมได้ Guide มาจาก Blog ของคุณหมอ Dr. Phichet Banyati ครับ ตอน หมอบ้านนอกไปนอก(43): เสน่ห์ปารีส ครับ ซึ่งข้อมูลการเดินทางของคุณหมอได้ช่วยผมเอาไว้ได้มากเรยครับแบบว่าไปแล้วไม่งงเลยทีเดียว ผมจึงตัดสินใจเขียนบทความขึ้นมาบ้างเผื่อไว้ว่ามันอาจจะเป็น Guide ให้กับผู้ที่กำลังจะไปเยือนปารีสได้ครับ

ตอนนี้ผมมาทำโครงงานพิเศษอยู่ที่ประเทศเยอรมันนีครับ เมืองที่ผมอยู่ห่างจากมิวนิค (Munich) ไปประมาณ 200 km ครับ ผมจึงตัดสินใจเดินทางโดยเครื่องบินจากมิวนิคไปปารีสครับ ซึ่งผมได้ Promotion ของ Lufthansa บินในราคาไป-กลับ 99 Euro ครับ (รวมภาษีแล้วก็ 102 Euro) การจองตั๋วเครื่องบินก็จองผ่านทางเว็บไซต์ของสายการบินครับ ผมไปปารีสวันที่ 1-4 เมษายน 2552 ผมจองตั๋วล่วงหน้า 3 อาทิตย์ครับเลยได้ตั๋วราคาค่อนข้างถูก

สำหรับ Hostel ที่ไปพัก ผมได้ไปพักที่ BVJ Latin Quarter ซึ่งสามารถโทรไปจองได้โดยดูเบอร์โทรศัพท์จากเว็บไซต์ http://www.bvj-hotel.com/ ครับ การจองไม่ต้องใช้บัตรเครดิตครับ แต่ว่าสามวันก่อนไปถึงต้องโทรไป confirm อีกรอบ ราคาห้องพักคืนละ 29 Euro/คน(รวมอาหารเช้า) โดยส่วนตัวแล้วผมไม่แนะนำให้ไปพักที่นี่ครับเพราะว่าตอนผมโทรไปจองผมบอกจะพักสามคืนคือวันที่ 1-3 เมษายน แต่ตอนโทรไป confirm เค้าบอกว่าไม่มีห้องพักให้ในวันที่ 2 ทำให้ผมต้องหาโรงแรมใหม่ก่อนเดินทางเพียงแค่ 3 วัน เป็นอะไรที่ทำให้หงุดหงิดมากๆครับ แต่บังเอิญโชคดีที่โรงแรมที่คุณหมอเคยพักมีห้องว่างวันที่ 2-3 เมษายน พอดีครับ ผมก็เรยตัดสินใจจองโดยทันที ซึ่งโรงแรมนี้มีชื่อว่า Hotel Prélude Gare du nord ค่าพักแบบ Dormitory(ห้อง 4 คน) คนละ 30 Euro ต่อคืน(รวมอาหารเช้า) ครับผม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.preludehotel.com/ อย่างที่ในบล็อคของคุณหมอบอกครับ ห้องเล็ก แต่ก็สะดวกสบาย


วันที่ 1 เมษายน 2552

นั่งรถไฟไปที่เมืองมิวนิคแต่เช้า(เก้าโมงเช้า) ไปเดินเล่นในเมืองก่อนไปสนามบินครับ ยังไม่มีร้านค้าเปิดเท่าไร ร้านที่เปิดส่วนมากก็เป็นร้านขาย Sandwich กับร้านขายดอกไม้ครับ ผมทานอาหารกลางวันที่ Munich ก่อนเดินทางไปสนามบิน เครื่องออกเวลาบ่ายสองโมงห้าสิบครับ หลังจากทานอาหารกลางวันและเดินย่อยเสร็จแล้วผมก็นั่งรถไฟต่อไปที่สนามบินนานาชาติมิวนิค (Flughafen München) ผมถึงสนามบินค่อนข้างจะเร็วไปหน่อยครับ แต่ก็ตามธรรมเนียมปฏิบัติก็คือบินข้ามประเทศต้องถึง 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกเป็นอย่างต่ำครับ ซึ่งการมาก่อนเวลาก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ หลังจาก Checked-in เรียบร้อยแล้ว ผมได้เข้าไปเดินใน Duty Free ครับ มีร้าน Brandname อยู่หลายร้านทีเดียว แต่ปารีสรออยู่ข้างหน้าแล้วจะเสียเงิน Shop ที่นี่ทำไมใช่ไหมครับ ฮ่าๆ

ไม่นานนั้นหลังจากนั่งเหม่อรอเครื่องขึ้นอยู่ที่สนามบินก็ถึงเวลาเดินทางครับ เครื่องที่ไปเป็นเครื่องลำเล็กครับเวลาบินก็เสียวเล็กๆ ใช้เวลาบินจากมิวนิคถึงปารีสประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ บนเครื่องบินก็มีบริการน้ำและของว่าง (ไม่อิ่มครับ ไม่อร่อยด้วย ต้องทำใจ) เครื่องบินลงจอดที่ปารีส Charles de Gaulle Airport Terminal 1 ครับ ถ้าคุณบินมาจากเมืองไทยก็จะลงจอดที่ Terminal 2 เพราะต้องเช็ค VISA กับ Passport พอลงมาถึงแล้วก็ให้หาคำว่า Sortie ครับ ซึ่งแปลว่าทางออกนั่นเอง หากไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องก็ไม่ต้องรออะไรครับ ให้หาทางไปสถานีรถไฟครับ พอเดินมาถึงสถานีรถไฟที่ติดกับสนามบิน เราต้องซื้อตั๋วเข้าปารีสครับ ซึ่งจากสนามบินไปปารีสตั๋วจะราคา 9.50 Euro ครับ ถ้าใครไปถึงเร็วหน่อยอาจจะซื้อเป็น Day Pass ไปเรยก็ได้ ราคา 12.90 Euro สามารถขึ้นรถไฟ รถเมล์ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วันครับ อ่าต้องอธิบายเรื่อง Day Pass นิดนึง คือปารีสจะแบ่งออกเป็น 6 โซนครับ จริงๆแล้วที่ผมไปเที่ยวก็คือโซน 1 เท่านั้นครับ ซึ่งก็คือใจกลางกรุงปารีสนั่นเอง แล้ว Day Pass ของโซน 1 ก็แค่ 5.80 Euro เท่านั้นเองครับ ไอ้ Daypass 12.90 Euro ข้างบนคือมันรวมพื้นที่สนามบินด้วยครับ ซึ่งสนามบินอยู่ที่โซน 5 ไกลออกไป ตั๋วเลยแพงขึ้นครับ

ผมโชคดีมากครับ ตอนไปถึงสถานีรถไฟ มีชาวต่างชาติคนนึงเอา Daypass มาให้ผมครับ บอกว่าเค้ากำลังกลับประเทศแล้ว เค้าไม่ใช้แล้ว ให้ผมเอาไปใช้เดินทางเข้าปารีส แหม ใจดีจริงๆ ดังนั้นการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองปารีสของผมเลยฟรีไปครับ

นี่ไงครับ ตั๋วฟรี

วันนี้ผมต้องไปพักที่ BVJ Latin Quarter ครับ ต้องนั่งรถสายสีฟ้าจากสนามบินไปลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame แล้วต่อสายสีส้มไปลงที่สถานี Maubert Mutualite ครับ ออกมาแล้วก็เดินไปสักสามร้อยเมตรก็ถึงที่พักครับ พักผ่อนให้หายเหนื่อยสักแป๊ปนึงก็ออกเดินทางโดยเดินขึ้นไปที่มหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ซึ่งออกมาจากโรงแรมแล้วก็เดินตรงขึ้นไปอย่างเดียว อย่าลืมขอแผนที่ปารีสจากโรงแรมนะครับ ผมค่อนข้างโชคร้ายนิดๆครับเพราะว่าตอนที่ไปถึงก็หมดเวลาเยียมชมซะแล้ว ถ้าจำไม่ผิดวิหารเปิดถึง 18:45 ครับ ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้เช้ามาใหม่ก็ได้แต่ยังไงมาถึงแล้วก็ถ่ายรูปไว้สักหน่อย

ข้างหลังคือมหาวิหารนอตเตอดามครับ มาช้าไปนิดเดียว

ผิดหวังเล็กน้อยที่มันปิดไปซะก่อน ในแผนที่จะมีสถานที่ที่มีเครื่องหมายดาวสีเหลืองไว้เยอะครับ ซึ่งหมายถึงจุดที่ควรจะไปเยี่ยมชมครับ โดยรอบๆมหาวิหารก็มีสถานที่มีดาวหลายแห่งเรยทีเดียว ผมก็เดินวนไปวนมาแถวนั้นสักพักครับ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่ Musee Du Louvre เพื่อไปเยี่ยม Ms.Monna Lisa ก่อนจะถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะมีปิรามิดแก้วตั้งอยู่ครับ สวยงามมาก ผมเก็บรูปมาเยอะทีเดียว ตอนนี้มีวิดีโอให้ชมด้วยครับ ถ้าพูดไม่สุภาพก็อย่าว่ากันนะครับ






ผมได้ยินมาว่าในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ท่านได้สะสมผลงานศิลปะเป็นจำนวนมากครับ รวมไปถึงรับบริจาคและกว้านซื้อผลงานศิลปะต่างๆด้วย ซึ่งผลงานทั้งหมดนั้นก็มาจัดแสดงให้ชมที่ Louvre นี่แหละครับ พอเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์แล้วก็โดนตรวจกระเป๋าครับ วันนี้คนเยอะจริงๆ แม้ว่าจะเย็นแล้วก็ตาม เนื่องจากที่ information บอกเราว่าวันศุกร์เย็นจะเปิดให้ชมฟรี เราจึงตัดสินใจมาที่นี่ใหม่ในวันที่ 3 เมษายนครับ

ถ่ายกับป้ายพิพิธภัณฑ์ Louvre

ปิรามิดแก้วหน้าพิพิธภัณฑ์


หลังจากออกมาจาก Louvre (โดยที่ไม่ได้ชมอะไร) ก็เดินเลียดริมแม่น้ำที่ตัดผ่านกรุงปารีสครับและได้ไปทานอาหารค่ำที่ภัตคาคารบนเรือซึ่งจอดอยู่ริมแม่น้ำ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วก็กินเต็มที่ไปเรยครับ สั่งเป็นชุดไปเรย 31 Euro มีทั้ง อาหารชิมลาง อาหารจานหลัก เครื่องดื่ม และของหวาน รสชาดอาหารใช้ได้ครับ แปลกๆดี ระหว่างที่รับประทานอาหารนั้นมีเรือหลายลำแล่นผ่าน คนบนเรือก็โบกมือให้ผมด้วย อิอิ เหมือนเป็นดาราเลยทีเดียว

อันนี้อาหารจานหลักของผมครับ Salmon with Lemon Source and Vegetable


ทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินกลับ BVJ Hostel ครับ อิ่มและนอนหลับฝันดี


วันที่ 2 เมษายน 2552

วันนี้โดนปลุกแต่เช้าเรยครับ (เจ็ดโมง) เพื่อไปเยี่ยมชมมหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ที่เมื่อวานเข้าไม่ได้ ก็เดินออกทางเดิมแล้วไปที่วิหารครับ เข้าไปข้างในแล้วปรากฏว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าข้างในมันก็เหมือนโบสถ์ทั่วๆไปนั่นเอง

ภายในมหาวิหารนอตเตอดาม





ความรู้สึกหลังจากที่ได้เข้าชมมหาวิหารนอตเตอดาม


หลังจากที่ออกมาจากนอตเตอดามแล้ว ผมก็เดินทางกลับมาที่ Hostel ครับ เพื่อมาทานอาหารเช้าแล้วก็ Check-out ครับ เราเดินกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Maubert Mutualite ซึ้อตั๋ว Daypass แบบ 5.80 Euro แล้วนั่งไปต่อรถไฟสายสีฟ้าที่สถานี St-Michel Notre-Dame จากนั้นไปลงที่ Gare du Nord ครับ เดินจากสถานีนี้ประมาณ 500m ก็ถึง Prelude Hotel ครับ ตอนนี้ประมาณสิบโมงเช้าได้ครับ ยัง Check-in ไม่ได้ ผมเรยต้องฝากของเอาไว้ก่อนครับ นั่งพักที่ Lobby ของโรงแรมสักพักก็เดินขึ้นไปยังเนินเขามงต์มาตร์ เดินไปชม Montmarttre Baslique du Sacre-Coeur หรือวิหารพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ภายในมีภาพประดับโมเสคของพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ พอเดินขึ้นมาถึงยอดก็จะสามารถเห็น Paris ได้ทั้งเมืองเชียวครับ

Montmarttre Baslique du Sacre-Coeur


หลังจากนั้นก็เดินชมร้านค้าบริเวณมงต์มาตร์ และลานจิตกรปลาสดูแตตร์ Place du tertre ที่มีจิตกรหลายคนกำลังนั่งวาดผลงานให้ชมกัน ซึ่งตอนนี้ก็เดินตาม Guide ของคุณหมอนะครับ ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนของ Blog คุณหมอนะครับ เพราะว่าผมเดินทับเส้นทางของคุณหมอแบบเต็มๆเลย

ลานจิตรกรปลาสดูแตตร์ Place du tertre

จากนั้นผมก็เดินไปเรื่อยๆตามถนน Rue Lepic เจอที่ตั้งของกังหันลมมูแลง เดลา กาแล็ต (Moulin de la Galette) ที่เหลืออยู่แค่หนึ่งเดียวจาก 30 แห่ง เดินไปเรื่อยๆจนเจอโรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulin Rouge) ไม่ได้เข้าไปนะครับ แค่ถ่ายรูปกับป้ายมันเฉยๆ

โรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulin Rouge)

หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆครับจากโรงระบำโป๊ไปที่ถนน Rue Caulaincourt ไปเยี่ยมชมสุสานขนาดใหญ่ Cimetiere Montmartre แวะทาน Kebab แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ Place De Clichy เพื่อนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังที่สถานี Charles de Gaulle Etolie เพื่อชมประตูชัยหรืออาร์ค เดอ ทริออมป์ (Arc de Triomphe) ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่จัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) ที่นโปเลียนให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในปี 1806 สร้างนานถึง 30 ปี สูง 50 เมตร เสาทั้งสี่ด้านประดับด้วยรูปสลักนูนที่รำลึกถึงชัยชนะสงคราม การจะขึ้นไปบนประตูต้องเสียค่าบัตรประมาณ 5 Euro ครับ ขึ้นด้วยบันไดนะครับ ไม่มีลิฟท์

อาร์ค เดอ ทริออมป์ (Arc de Triomphe)

มาถึงยอดจนได้ครับ ปวดขามากๆ บนนี้วิวสวยจริงๆ

พอเดินลงมาแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีทรอคคาเดโร (Trocadero) พอขึ้นจากสถานีรถก็พบพระราชวังชายโย (Palais de Chaillot) เป็นอาคารปีกโค้งสองหลัง (ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์) มีรูปปั้นนายพลฟอชขี่ม้าอยู่ฝั่งตรงข้าม จุดนี้เป็นจุดชมหอไอเฟล (Tour Eiffel) ที่มีลานให้ถ่ายรูปและชมหอไอเฟลได้เต็ม ระวังพวกคนดำขายพวกพวงกุญแจด้วยนะครับ บางคนก็ตื้อให้เราซื้อมากๆ

นี่ไงถ่ายได้เต็มๆ ระหว่างทางมีโค้กขายด้วยนะ


ถึงไอเฟลแล้วครับ


ข้างล่างหอไอเฟล

ลงบันไดเดินเข้าไปหาหอไอเฟ่นที่เห็นอยู่ข้างหน้า บริเวณหอไอเฟลนักท่องเที่ยวต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วและขึ้นลิฟต์ หอนี้สร้างด้วยเหล็กล้วนสูง 324 เมตร หนัก 10,000 ตัน โดยกุสตาฟ ไอเฟลในปี 1889 เพื่อเป็นประติมากรรมฉลอง 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส วันนี้ที่ไปเขาเปิดให้ขึ้นแค่สองขาจากสี่ขาเท่านั้นครับ ขาข้างนึงให้ขึ้นโดยใช้ลิฟท์ อีกข้างให้เดินขึ้นครับ ผมเลือกที่จะไปทางที่ต้องเดินขึ้นครับเพราะคนต่อคิวซื้อตั๋วไม่เยอะมาก เสียเงินค่าขึ้นประมาณ 4 Euro ได้ เดินกันขาแทบลากก็มาถึงชั้น 1 จนได้ครับ มีวีดีโอให้ชมอีกเช่นกัน




ชั้น 1 ไอเฟลครับ


พักเหนื่อยกันสักแป๊ปนึงก็เดินขึ้นชั้นสองต่อครับ ตอนนี้ขาผมปวดมากๆๆๆ แต่ก็สู้ครับ ยังมีอีกสองชั้นให้เดิน พอมาถึงชั้นสองก็หอบครับ ไม่ค่อยออกกำลังกายก็แบบนี้แหละครับ จากนั้นเราก็ซื้อตั๋วเพื่อขึ้นชั้นสามอีกประมาณ 4 Euro ครับ ชั้นสามนี่ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแล้วครับมีแต่ลิฟท์ พอขึ้นมาถึงชั้นสุงสูดก็เกิดความรู้สึกว่าดีใจมากครับ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะได้มายืนที่นี่ ฮ่าๆ มีวีดีโออีกเช่นเคย








หลังจากนั้นก็นั่งลิฟท์ลงมาจากหอไอเฟลครับ แล้วก็เดินเลียบคลองเพื่อไปชม Statue of Liberty อันที่สองของโลกครับ

Statue of Liberty ที่ Paris


เดินออกมาจากรูปปั้นไปทางตึก Radio France แล้วไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kennerdy-Radio France กลับไปยัง Charles de Gaulle Etolie หรือสถานีที่ประตูชัยนั่นเอง โดยเปลี่ยนสายรถไฟเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานี Avenue Foch ครับ พอออกมาแล้วก็เดินไปตามถนน Avenue Des Champs Elysees เป็นถนนที่ว่ากันว่าที่ดินแพงที่สุดในโลก ถนนนี้มีแต่ของ Brandname ขายครับ น่าเสียดายว่าวันนี้ผมมาถึงที่นี่ช้าไปหน่อย ร้านค้าปิดเกือบหมดแล้ว เราแวะทาน Fastfood กันที่ถนนนี้ครับ จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังสถานี Charles de Gaulle Etolie แล้วก็นั่งไปที่ Trocadero เพื่อไปชม Eiffel ตอนกลางคืนครับ จากนั้นก็นั่งรถไปที่สถานี Anvers เพื่อกลับที่พักครับ เพื่อนร่วมห้องนอนกรนดังมาก นอนไม่หลับเรยคืนนี้ เซ็งเป็ด!


วันที่ 3 เมษายน 2552

วันนี้ตื่นแต่เช้าแต่ไม่เช้ามากครับประมาณ 8 โมงครึ่ง ล้างหน้าแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ Lobby ของโรงแรมครับ กินง่ายๆครับ ครัวแซนด์ นม น้ำส้ม หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทางไปยังสถานี Anvers ครับ ผมซื้อตั๋วแบบ Daypass ที่ไปได้ Zone 1-5 ราคาประมาณ 12 Euro เพราะว่าวันนี้ผมกำลังจะไปที่พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Versailles) ซึ่งอยู่ที่โซน 5 ครับ หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Porte Dauphine แล้วเดินอีกนิดไปที่สถานี Avenue Foch เพื่อต่อรถสายสีเหลืองไปยังพระราชวังแวร์ซาย นั่งรถจาก Avenue Foch ไม่นานนักก็มาถึงจนได้ครับ มาถึงที่นี่ประมาณ 10 โมงได้ ผมเดินออกมาจากสถานีแล้วก็ไปยังร้านขายทัวร์ครับ จ่ายไป 26 Euro จะมีไกด์พูดภาษาอังกฤษพาไปเที่ยวชมพระราชวัง วันนี้อากาศไม่ค่อยดีครับ หมอกลงเลยถ่ายไม่เห็นตัวพระราชวัง

หมอกลงจัดจริงๆครับ เห็นรั้วสีทองอ่ะเปล่า?

ผมได้เข้าไปเดินเกือบทุกห้องของข้างในพระราชวังเรยครับ ห้องนอนพระราชา ห้องนอนพระราชินี ซึ่งแน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวไปกับเพียบ พระราชวังก็ใหญ่มากจริงๆ เดินกันจนน่องโป่งเลยทีเดียว

ทางเดินในวัง

หลังจากที่ทัวร์จบแล้วผมก็ออกมาข้างนอกวังมาชมสวนครับใหญ่มากกกกกกกกก เดินกันวันนึงก็ไม่รอบครับ ซึ่งภายในสวนยักษ์ก็จะมีคลองรูปกากบาทตัดผ่าน

ดูในแผนผังจะเห็นคลองเป็นรูป + ครับ

ก่อนที่จะทำกิจกรรมอื่นใดต่อไป ผมก็ไปแวะทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆที่ร้านอาหารที่แอบอยู่ในสวนครับ ราคาก็แพงพอสมควรเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ามันอยู่ในวังนั่นเอง พอทานอาหารเสร็จแล้วเกิดนึกสนุกขึ้นมาครับเลยไปเช่าเรือมาพายเล่นในคลอง แหม สุดยอดจริงๆ ได้มาพายเรือในพระราชวังแวร์ซาย






พายจนหอบแล้วก็นั่งรถไฟกลับไปที่ถนน Avenue Des Champs Elysees ครับ คราวนี้ร้านยังไม่ปิด ได้เดินช็อบสักที ได้เดินเข้าไปในร้าน Louis Vuitton สาขาแรกของโลกด้วยครับ ร้านใหญ่มาก มีหลายชั้น ขายสินค้าของ LV ทุกประเภท ไปถูกใจกระเป๋าอยู่ใบนึงครับคือ Damier Brooklyn PM แต่ก็ตัดกิเลสออกมาได้ครับ ทีนี้ตอนเดินออกมา เดินไปขึ้นรถไฟผิดฝั่งครับทำให้ต้องเดินผ่านร้าน LV อีกรอบ อดใจไม่ได้เลยซื้อเลย เพราะยังไงก็ได้คืนภาษี 12% ที่สนามบิน (ทำเรื่องคืนได้ตอนเดินทางออกจาก European Union ภายใน 3 เดือนครับ)ครับ อย่าลืมเอา passport ไปด้วยนะครับเพราะต้องให้ร้าน LV ออกเอกสารทำเรื่องคืนภาษี T_T หมดตูดครับ แต่ไหนๆก็มาฝรั่งเศสทั้งที เดี๋ยวมีเรื่องคาใจครับ

ซื้อจนได้สิเรา - -; ต้องนั่งปั้มเงินใหม่อีกแร้น

ออกมาพร้อมกระเป๋าหลุยส์ เดินต่อไปยังสถานี Champs Elysses Clemenceau เพื่อนั่งไปยังสถานี Palais Royal Musee du Louvre ครับกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ Louvre นั่นเอง ใช่แล้ว คืนนี้ผมมีนัดกับ Monna Lisa ครับ วันนี้เข้าฟรีครับหลังหกโมงเย็นถ้าอายุน้อยกว่า 25 พอเข้ามายัง Louvre แล้ว ผมก็ไม่รอช้าเดินไปหาเจ๊ Monna Lisa ทันที ถ่ายวีดีโอมาให้ชมกันด้วยครับ






พิพิธภัณฑ์ Louvre นี่กว้างใหญ่มากครับมีถึง 4 ชั้นเรยทีเดียว ผมซึ่งน่องและขาหมดความรู้สึกไปแล้วทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ทั่วครับ น่าเสียดายจริงๆ แต่ก็ได้ไปถ่ายรูปกับสิ่งของทางประวัติศาสตร์บางอย่างนะครับอย่างเช่น Code of Hammurabi เป็นจารึกกฏหมายแรกของโลกครับ

ถ่ายกับ Code of Hammurabi

ออกจาก Louvre แล้วก็นั่งรถไฟกลับโรงแรมครับอาบน้ำ พักเหนื่อยแล้วก็ออกมาทานอาหารจีนฝั่งตรงข้ามโรงแรมครับ อาหารฝรั่งเศสไม่ถูกปากผมอ่ะครับ ผมคิดว่าบางคนที่บอกว่ามันอร่อยเพราะว่ามันแพงนั่นเอง แต่ร้านอาหารจีนที่นี่ก็ทำเปรี้ยว+เค็มจริงๆ ทานเสร็จแล้วก็กลับโรงแรมไปหลับยาวครับ นอนไม่ได้อีกเช่นเคย Roommate นอนกรนกันสองคน เวรกรรมของผมจริงๆ


วันที่ 4 เมษายน 2552

วันนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ ตื่นเช้ามาทานอาหารแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Gare du Nord เพื่อไปยัง สนามบิน Charles de Gaulle นั่นเอง กว่าจะผ่านช่วง Security นี่นานมากครับเพราะว่าคนเยอะมาก แนะนำให้ไปก่อนเวลาบิน 3 ชม เหมือนเดิมนะครับ

จบการเดินทางไปปารีสแค่นี้ล่ะครับ มีความสุขมากจริงๆ ก็มีข้อแนะนำและระวังบางข้อนะครับที่อยากจะแบ่งปัน
  • Paris มีสนามบินสองแห่งนะครับคือ Charles de Gaulle และ Orly ขึ้นลงที่ไหนต้องระวังนะครับ เพราะว่าบางคนไปปารีสตอนมาลงที่ Charles de Gaulle แต่ตอนกลับต้องขึ้นที่ Orly แต่ไปผิดที่ครับ
  • มีกระเป๋าใบเล็กๆไว้ใส่น้ำดื่มกับกล้องแล้วก็เอกสารต่างๆเช่นแผนที่ครับ เอาน้ำดื่มไปเองจะประหยัดไปได้มากทีเดียว
  • ห้ามน้ำของเหลวทุกชนิดขึ้นเครื่องบินนะครับ
  • อย่าทิ้งของมีค่าและ passport ไว้ที่ Hostel นะครับ เอาติดตัวไปตลอด

ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเป็นล้านเดินทางมาที่ปารีสครับ มหานครแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มัดใจผู้คนให้หลั่งไหลกันมาที่นี่ครับ เค้าว่ากันว่าหากมาที่ปารีสครั้งนึงแล้ว คุณจะจำปารีสไปตลอดทั้งชีวิต ผมก็คิดว่าเป็นความจริงครับ เพราะไม่มีอะไรเลยที่ไม่ประทับใจจริงๆ

ก่อนจากกันผมมีประมวลภาพการเดินทางครั้งนี้ด้วยครับ แต่ไม่ได้เขียนอธิบายรูปนะครับเพราะมันเยอะมาก




ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย", "ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก - คิดเป็น ทำเป็น"

เอามาให้ฟังกันตอนว่างๆ ครับ

พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและประธานมูลนิธิไทยคมได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง " อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย", "ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก - คิดเป็น ทำเป็น" เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2551 ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ถนนสุขุมวิท กทม



โดยส่วนตัวแล้วผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง "อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย" จนจบครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของมูลนิธิไทยคมครับ เป็นหนังสือที่รวมการบรรยายต่างๆ ของ พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ด้านการศึกษาของประเทศไทย สรุปใจความที่สำคัญของหนังสือก็คือการปฏิวัติการศึกษาของประเทศไทยครับ ท่านต้องการให้เด็กไทย "คิดเป็น ทำเป็น" เพื่อที่จะได้ฟื้นฟูประเทศไทยที่กำลังย่ำแย่ให้กลับมาแข่งขันกับชาติอื่นๆ ได้ในโลกปัจจุบันที่ต่อสู้กันด้วย wisdom(ปัญญา) ไม่ใช่ต่อสู้ด้วย wealth (ความมั่งคั่ง) และ Prestige (ศักดิ์ศรี) เหมือนในอดีต

ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

International Welcome Party at Alibi

Been to the official party for welcoming all international students at Abili, one of the two student pubs in Weingarten. The place didn't have enough light, so the photo is a bit dark :| (it was taken from my phone actually and it has no flash so)

Yep, I had a lot of fun there, I got a free drink and free snacks too. I played table soccer with some international friends. I talked to many people and also bought some extra alcohol drinks.

You can see many international flags hanging on the ceiling but none of them were Thai flag. How sad...
However, it was nice to be there anyway. Alright! I'd better go to bed soon, tomorrow I have my German Class.

Good night people, I wish you a great day :) See you next post

It was a sheep, not a goat, Sorry

Peach, my friend, reminded me this morning, this thing is called "sheep" not "goat" -*-

Sorry

Happy Monday....

Happy Sunday!

Hi all, some of you may wonder that why I update my blog so often. That is because I have nothing to do at here apart from the project I'm working on. As you may know that, on Sunday, everything here is close, all shops, all restaurants, ... People here basically go to Church on this day. This could be one reason that explains why everything here is expensive i.e. you cannot sell on Sunday and normally almost all shops close at 6pm on Mon-Sat.

So every Saturday, I have to make sure that we have enough food to eat on Sunday(3 meals for 2 people). Arthur and I went shopping on Saturday evening. We bought some meat, fruits, drinks, and vegetable.

Today, I did some exploring of Weingarten again. This time I went to outside of the town and walked up the hill. I saw goats on the way, they were so cute! Well, I did take some pictures though. You may like to see them below



Have a great day like I do :)

Before I go for today, I got a quote from my spam mail, I think it is good to share with you

"Appearance wins over the eyes, but personality wins over the heart"

I like it :)

My working place at home

Hallo friends, today I would like to show you my working desk at my apartment.

Look very messy!? Yes, it definitely is. I have two glasses on the table, one empty Coca-Cola bottle, a Light Sword Toy, my passport bag, a headset, a clock, my NDS, my ThinkPad T400, my wallet, wristwatch, coins, some shopping receipts, town map, nail cutter, eye mask, iron ruler.... and a lot more.

I'm thinking to clean it one day...

I'm going out to Ravensburg at 5pm to buy another travel adapter that can use with my laptop. I'm thinking to buy some food as well because there will be 4 students from Thailand coming on this coming Monday. I may hold a welcome party for them :)

Wish you all a great day.

Things I bought in 2008 (last year)

Hello people, yep, this is my another free day here in Weingarten, Germany. You may question me like "Don't you have work to do?" or "Are you free all the time?". Well, yes, I have work to complete and I'm working on it (just started it this week actually). Nevertheless, human can't work all day long, or you can? By the way, I'm not going anywhere this weekend so I have the whole week to do the work. No need to be hurry :)

This evening I just thought about how much money I spent last year. Well, when I counted, the total was actually enough to buy a 2nd car. Below are the lists of the things, I could remember, I bought last year.

Mimaki Plotter (Sticker cutting machine) - 51,000 B
Thinkpad T400 - 53,000 B
DKNY watch - 9,000 B
Sony Ericsson W890i - 14,000 B
Car maintainance (tires + battery) - 9,000 B
Laptop repairing (my old Acer) - 4,500 B
Travel Insurance - 3,000 B
Passport - 1,000 B
Air Ticket to Germany - 40,100 B

Total: 184,600 Baht (~USD5,300)

Just can't believe that I spent that much last year...T-T

I was cheated by Tesco Lotus!!

Haven't told you about this story, I just realized this morning that I should put this story up to my blog too. Yes, I was cheated. It was not a big problem but it could be serious if Arthur didn't bring his one neither. Luckily that he did. Oh right, forgot again to tell you what it was. It was my electrical plug! I bought it from Tesco-Lotus in Thailand.

Well, the problem is that I got the correct legs of the electrical plug, which are look like a bar, but I just can't put it in to the electric socket. You see the pictures below and you will know. The socket has two 4.8mm round contacts on 19mm centres and two grounding clips on the sides of the connector body. Mine one just can't get in!



I have been finding a new electric plug for my ThinkPad T400 but still haven't found any...

This is gonna be a good lesson for me that I should not 100% trust the things that are sold in Tesco-Lotus.

Peace on you and have a great day.

Paris, Here we come!

Dear all,

Arthur and I are going to Paris on April 1-4 but we will leave Weingarten on Mar 29 and stay at Simon's house for 3 nights before we get on the plane in Munich.

I've just noticed that I have spent up to 400Euro already for the past 2 weeks...

As always, wish you all a great day

FYI,
Nopachat

Visiting Simon's house in Schondorf

I guess this post has to be in English because I would like my close friend, Simon to be able to read it too(However, photo descriptions are still in Thai). So let's start...

Last Saturday, Arthur and I went out in the early morning to get a bus to Ravensburg Train Station. Yes, we were traveling again :) As some of you can notice, we has never been at home on weekend. We caught 7:47 train to Schondorf. It took about 4 hours to arrive at the destination. There, Simon and his girlfriend, Maria, were waiting for our coming.

That day could be called the hip day of the year for me. It was quite incredible that I had a chance to see my old friend again after last 4 years in New Zealand. Simon, he looked pretty much the same like last 4 years ago except the longer hair. Not so long after we arrived, Simon took us out for a walk to the lake near his house. The weather was nice and the sky was clear as well, we felt very warm when we were walking to the place. Yep, we were around at the lake quite a while and talking to one another. Then, we came back to Simon's house for delicious Barvarian lunch. I can't describe the food very well but it was like baked pork steak with beer sauce, a tripical Barvarian menu :D

At night, we went out to a Shisha pub in Landsburg (if I didn't spell it wrongly). We had a lot of fun and it was really one of good experiences here. Not only 3 of us had been to the pub but ther e was one of Simon's friends came along with us too. His name was Mo, he was 2 metre tall... He also studied in Hochschule Ravensburg-Weingarten like us.

On Sunday, we went to a Church on the other side of the lake and had some yellow fizzy drink there ;)

Let's see some photos



And this is the video I captured when Simon was singing his song for us.



If you like his singing, you may give him some feedback by posting a comment.

Wish you all a great day

บางอย่างที่นภชาติได้เรียนรู้ที่เยอรมันนี

1. warm winter คือช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนจากฤดูหนาวไปยังฤดูร้อน ช่วงนี้จะมีหิมะตกทิ้งท้าย มัน warm ตรงไหน
2. เวลาถามชื่อคนอื่นจะไม่ถามว่า คุณชื่ออะไร? แต่จะถามว่า จะเรียกคุณว่าอย่างไร?
3. เวลาถามเวลาจะไม่ถามว่า กี่โมงแล้ว? แต่จะถามว่า สายแค่ไหนแล้ว?
4. การเรียกชื่อหน้าเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพสำหรับคนที่ไม่รู้จักกัน ให้เรียกนามสกุลแทนแล้วใส่ Herr ข้างหน้าถ้าเป็นผู้ชาย Frau ถ้าเป็นผู้หญิง ซึ่ง Herr ก็คือ Mr. ส่วน Frau ก็คือ Mrs. นั่นเอง ที่นี่ไม่มี Ms เค้าบอกเลิกใช้ไปนานแล้ว
5. ที่นี่คำศัพท์ทุกคำมีเพศหมด ซึ่งจะมีสามเพศคือ 1.ผู้หญิง 2.ผู้ชาย 3.ปกติ คนที่กำหนดเพศให้สิ่งของต่างๆไม่ได้เขียนบันทึกไว้ว่าทำไมของชิ้นนี้ต้องเพศนี้ เช่น ทำไม "กลางวัน" ถึงเป็นผู้ชาย แต่ "กลางคืน" ถึงเป็นผู้หญิง
6. คนเยอรมันไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ
7. คนเยอรมันเป็นคนดี ไม่เหยียดผิว เหยียดชาติ ถ้าเราสื่อสารกับเขาได้ เขาก็จะช่วยเต็มที่
8. ที่นี่ร้านค้าทุกร้านปิดวันอาทิตย์เพราะคนส่วนมากเป็นคาทอลิก วันอาทิตย์ต้องเป็นวันพักผ่อนและไปโบสถ์ครับ ส่วนวันธรรมดาเปิดถึง 6 โมงเย็นครับ บางร้านก็เปิดถึง 7.30pm รวมทั้งร้านสะดวกซื้อ
9. อยู่บ้านมีความสุขที่สุดครับเพราะอุ่นที่สุด
10. ต้องทำอาหารกินครับ เรียนทำอาหารจาก Youtube :| ซื้อกินนี่แพงมากๆ

เอ่อ มี Video จาก Ye เพื่อนที่ ม.ชินวัตรครับ เอาไว้ให้ดูขำขำกัน เป็นเรื่องของคนอิตาเลียนไปเที่ยวประเทศมอลต้าครับ(ประเทศนี้พูดภาษาอังกฤษ)



อันนี้เป็น...ดูเอาเองละกันครับ



ตอนนี้ผมมีความสุขมากครับ ไม่เคยว่างแล้วมีเวลาเขียน Blog แบบนี้มาเป็นปีแล้ว อิอิ :)

ขอให้ทุกท่านมีความสุขเช่นกันครับ
Peace on you

เที่ยว Munich อีกรอบ

อันนี้ต่อจาก post ที่แล้วนะครับ เล่าย้อนไปนิดนึงก่อน

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีบุญได้ไปนอนบ้านพี่ Dawit กับ Dr.Martin ที่ Munich อีกรอบครับ วันเสาร์ได้ไปเที่ยว Munich ตอนกลางคืนครับและก็ได้ทาน Dinner ที่ร้าน local restaurant ครับ เบียร์แรงมาก แก้วเดียวก็มึนเรยล่ะ

Post นี้เป็นเครื่องของวันอาทิตย์ครับ ผมและอาเธอร์ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ BMW ครับ มีรถรุ่นล่าสุดมาตั้งโชว์ทั้งนั้นเรยครับผม ชมเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับกันครับ และเป็นที่แน่นอนว่า หลงทางอีกเช่นเคย... แบบว่าขึ้นรถผิดชานชลาครับ - -;

เนื่องจากการขึ้นผิดชานชลาและการตัดสินใจผิดหลายครั้งทำให้....ถึงบ้านตอนตี 1 โดยสามารถนั่งรถไฟรอบสุดท้ายกลับบ้านได้พอดี

ส่วนสัปดาห์นี้ นบได้เข้า course ติวภาษาเยอรมันแบบหลักสูตรเร่งรัดครับ เรียน 6 ชม ต่อวันเป็นเวลา 5 วันครับ วันนี้เรียนเป็นวันสุดท้าย รู้สึกว่าภาษาเยอรมันนี่มันยากจริงๆ เรียนมาตั้ง 30 ชม แล้วยังก่งก๊งอยู่เรย ติดตามดูรูปได้ข้างล่างเรยครับ



แล้วนี่ก็ video ครับ

อาเธอร์กำลังอธิบายรถไฟใต้ดินที่ Munich ครับ (ที่ กทม ดูใหม่กว่าเยอะอ่ะ)



อันนี้เป็น video ของ BMW Serie 7



สุดท้ายเป็น on da way to my first German class ครับ



ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ อัพไม่บ่อยครับพักนี้ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเรย...

Video ถ่ายเก็บบรรยากาศ Germany

วีดีโออันแรกถ่ายที่สวนสัตว์(ประหลาด) ที่ ม Constance ครับ พูดไม่สุภาพบ้างก็อย่าว่ากันนะครับ



อันที่เหลือเป็นบรรยากาศแถวๆ Apartment ที่พักอยู่ครับ





ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ ไอ้ที่ไพสไว้ข้างล่างก็อันใหม่นะ

Day 4-7 ครับ เที่ยวอย่างเดียว ยังไม่ทำงานเรย ฮ่าๆ

วันที่ 4 ค่อนข้างน่าเบื่อครับ เพราะต้อง filled in many documents มากๆ เรย แล้วก็นั่งฟังลุงคนนึงบ่นถึงประวัติ university ครับ ตอนบ่ายว่างก็ไปลั่นล้าในเมืองตามระเบียบ



วันที่ 5 วันนี้ค่อยมีสีสันหน่อย วันนี้ได้เงินงวดแรกครับ คนละ 500 Euro แน่ะ ฮ่าๆๆ ตอนเช้าก็โดนพาเข้าเมืองเพื่อไปทำ Resident registration ครับ บ่ายก็ไปเที่ยว Ravensburg กับคณะเด็กอินเตอร์ เมือง Ravensburg นี้เมื่อก่อนรวยมากนะครับ เพราะคนสวิซต้องมาซื้ออาหารที่เมืองนี้ ประเทศเค้าปลูก crop ไม่ได้ ตอนนี้กลับกัน คนสวิซรวยกว่าแล้ว



วันที่ 6 ไปเที่ยวเมือง Contance กับโรงเรียนครับ เมืองใหญ่มาก สวยมากๆ แต่ไม่ค่อยมีอะไรติดใจเท่าไร อ้อ วันนี้ซักผ้าวันแรกครับ



วันที่ 7 วันเสาร์ ลงมาเที่ยวมิวนิคครับ พลาดรถไฟรอบเช้าด้วย ซื้อตั๋วไม่ทัน เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติรับแต่ Credit Card อ่ะ ไม่นึกไม่ฝันว่ามันไม่รับเงืนสด มาถึงมิวนิคก็พักบ้านของ Dr.Martin เช่นเคยครับ วันนี้ก็ตามพี่ๆไปดู Furniture ครับ คนที่นี่ออกแบบสวยๆเยอะเรย ตอนเย็นพี่ Dawit พาไปเดินดูของ Brand name เป็นอาหารตาก่อนกินข้าวเย็นครับ ที่นี่ของถูกกว่าเมืองไทยเยอะเรยครับ นบก็หมายปองกระเป๋าไว้ใบสองใบครับ :) วันสุดท้ายถ้าเงินเหลือก็จะมาซื้อไปอวดครับ



ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ
Happy Weekend :)

Day 3 at Weingarten วันนี้เดินสำรวจเมือง

วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างสงบสุขอีกวันหนึ่งครับ ทำอาหารเช้า แล้วก็ออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอก จากนั้นก็นั่งรถไปเที่ยว Downtown อีกเมืองครับ เมืองที่ไปชื่อว่า Ravenburg อยู่ติดกับ Weingarten ที่นบกับอาเธอร์อยู่ มีร้านขายของพอสมควรครับ อารมณ์เดียวกับ บองมาเช่ ที่กรุงเทพ town เมืองนอกนี่จะสวยมากครับเค้าจะปูกระเบื้องเกือบทั้งเมืองเรย เดินกันสักพักก็ได้เวลากลับมหาวิทยาลัยเพราะอาเธอร์ต้องไปเจอ Prof.Kohr มั้ง ไปรับฟัง Project Description คุณ Prof คนนี้ก็โหดจริงๆ บังคับให้อาเธอร์ทำงานทุกวันเรย แถมคนที่ทำโปรเจคด้วยก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แหม น่าสงสารน้องเค้าจริงๆ ก่อนกลับที่พักมีพี่คนไทยคนนึงมาคุยด้วยครับ พี่เค้าชื่อพี่ safe (ปลอดภัย) เป็นนักเรียนปริญญาเอกจาก SIIT ครับ มาทำโปรเจคเกี่ยวกับ Robotic ที่นี่ พี่เค้าแนะนำเว็บ voipdiscount.com ครับ เข้าไปโหลดโปรแกรมในเว็บไซต์นี้มาจะสามารถโทรกลับประเทศไทยได้ฟรีครับแต่จะตัดบ่อย แต่ถ้าจ่าย 10EUR ล่ะก็จะโทรได้ 120 วัน แบบไม่ตัดเรยครับ (แต่อาทิตย์นึงห้ามเกิน 300 นาทีนะ) ก็บอกไว้ครับเผื่อเพื่อนๆคนไหนจะไปเมืองนอกก็โหลดตัวนี้มาใช้กันได้ ซึงนบกับอาเธอร์ก็แชร์กันคนละ 5EUR ครับ โทรได้จุใจเรย

ข้างล่างนี้ก็เป็นภาพการดำเนินชีวิตวันนี้ของเด็กไทยทั้งสองครับ



ขอให้ทุกท่านมีความสุขและเอาชีวิตรอดในหน้าร้อนให้ได้นะครับ

ที่นี่มันเย็นจริงๆ :)
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...