Happy Easter! (sorry if it is too late)
Easter is the most important religious feast in the Christian liturgical year. Christians believe that Jesus was resurrected from the dead two days after his crucifixion, and celebrate this resurrection on Easter Sunday, two days after Good Friday.
This year in Germany, the Easter break is 4 days: Apr 10-14. However, some people may take 1 week more off. Saturday after the Good Friday, I went down to the next-closed-big city, Ravensburg, to join the Easter celebration. My first Easter celebration was in New Zealand, I got an Easter rabbit from my host parents. My second Easter was in United Stated, I got nothing :P. This year was my third Easter event.
In Ravensburg, that day, was very lively. I had never seen such this many people in Ravensburg before. There were many activities for kids. All restaurants, outdoor and indoor ones, were crowded. The weather was just excellent, you could walk with wearing only T-Shirt and shorts. I spent half a day for fashion shopping, tried so many clothes but could not find the right one(I had only 30 Euros in my pocket, poor me).
In the late afternoon, I saw a new couple, riding on the horse carriage to celebrate their marriage. People clapped their hands when the carriage passed them. It was the wonderful moment, I was in.
The sakura trees in front of my flat are blooming. They are just beautiful :)
Have a good day and thanks for reading :)
Arthur's 19th Birthday
Yesterday was my roommate birthday. My SIIT friends and we had a hamburger party. The video was the moment that we were singing 'Happy Birthday' song together.
Well, Happy Birthday :)
Have a good day and happy Easter.
Well, Happy Birthday :)
Have a good day and happy Easter.
เที่ยวปารีสไม่ง้อทัวร์ ใน 3 วัน 3 คืน (Paris Trip)
สวัสดีครับ เพิ่งกลับมาจาก Paris ครับ ก็เลยอยากเล่าประสบการณ์การเดินทางให้ฟังครับ บางคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมถึงเป็น 3 วัน 3 คืน ไม่ใช่ 4 วัน 3 คืน เพราะว่าวันแรกที่ไปถึงมันเย็นแล้วอ่ะครับ อาจจะนับเป็นครึ่งวันได้ แล้ววันสุดท้ายตื่นมาก็ไปที่สนามบินเรยครับ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเรย ขอเริ่มเลยละกันครับ
ก่อนจะเล่าเรื่องของผม ต้องขอเอ่ยถึงแหล่งข้อมูลที่ผมได้มาก่อนครับ ก่อนจะไปปารีส 1 อาทิตย์ ผมได้ Guide มาจาก Blog ของคุณหมอ Dr. Phichet Banyati ครับ ตอน หมอบ้านนอกไปนอก(43): เสน่ห์ปารีส ครับ ซึ่งข้อมูลการเดินทางของคุณหมอได้ช่วยผมเอาไว้ได้มากเรยครับแบบว่าไปแล้วไม่งงเลยทีเดียว ผมจึงตัดสินใจเขียนบทความขึ้นมาบ้างเผื่อไว้ว่ามันอาจจะเป็น Guide ให้กับผู้ที่กำลังจะไปเยือนปารีสได้ครับ
ตอนนี้ผมมาทำโครงงานพิเศษอยู่ที่ประเทศเยอรมันนีครับ เมืองที่ผมอยู่ห่างจากมิวนิค (Munich) ไปประมาณ 200 km ครับ ผมจึงตัดสินใจเดินทางโดยเครื่องบินจากมิวนิคไปปารีสครับ ซึ่งผมได้ Promotion ของ Lufthansa บินในราคาไป-กลับ 99 Euro ครับ (รวมภาษีแล้วก็ 102 Euro) การจองตั๋วเครื่องบินก็จองผ่านทางเว็บไซต์ของสายการบินครับ ผมไปปารีสวันที่ 1-4 เมษายน 2552 ผมจองตั๋วล่วงหน้า 3 อาทิตย์ครับเลยได้ตั๋วราคาค่อนข้างถูก
สำหรับ Hostel ที่ไปพัก ผมได้ไปพักที่ BVJ Latin Quarter ซึ่งสามารถโทรไปจองได้โดยดูเบอร์โทรศัพท์จากเว็บไซต์ http://www.bvj-hotel.com/ ครับ การจองไม่ต้องใช้บัตรเครดิตครับ แต่ว่าสามวันก่อนไปถึงต้องโทรไป confirm อีกรอบ ราคาห้องพักคืนละ 29 Euro/คน(รวมอาหารเช้า) โดยส่วนตัวแล้วผมไม่แนะนำให้ไปพักที่นี่ครับเพราะว่าตอนผมโทรไปจองผมบอกจะพักสามคืนคือวันที่ 1-3 เมษายน แต่ตอนโทรไป confirm เค้าบอกว่าไม่มีห้องพักให้ในวันที่ 2 ทำให้ผมต้องหาโรงแรมใหม่ก่อนเดินทางเพียงแค่ 3 วัน เป็นอะไรที่ทำให้หงุดหงิดมากๆครับ แต่บังเอิญโชคดีที่โรงแรมที่คุณหมอเคยพักมีห้องว่างวันที่ 2-3 เมษายน พอดีครับ ผมก็เรยตัดสินใจจองโดยทันที ซึ่งโรงแรมนี้มีชื่อว่า Hotel Prélude Gare du nord ค่าพักแบบ Dormitory(ห้อง 4 คน) คนละ 30 Euro ต่อคืน(รวมอาหารเช้า) ครับผม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.preludehotel.com/ อย่างที่ในบล็อคของคุณหมอบอกครับ ห้องเล็ก แต่ก็สะดวกสบาย
วันที่ 1 เมษายน 2552
นั่งรถไฟไปที่เมืองมิวนิคแต่เช้า(เก้าโมงเช้า) ไปเดินเล่นในเมืองก่อนไปสนามบินครับ ยังไม่มีร้านค้าเปิดเท่าไร ร้านที่เปิดส่วนมากก็เป็นร้านขาย Sandwich กับร้านขายดอกไม้ครับ ผมทานอาหารกลางวันที่ Munich ก่อนเดินทางไปสนามบิน เครื่องออกเวลาบ่ายสองโมงห้าสิบครับ หลังจากทานอาหารกลางวันและเดินย่อยเสร็จแล้วผมก็นั่งรถไฟต่อไปที่สนามบินนานาชาติมิวนิค (Flughafen München) ผมถึงสนามบินค่อนข้างจะเร็วไปหน่อยครับ แต่ก็ตามธรรมเนียมปฏิบัติก็คือบินข้ามประเทศต้องถึง 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกเป็นอย่างต่ำครับ ซึ่งการมาก่อนเวลาก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ หลังจาก Checked-in เรียบร้อยแล้ว ผมได้เข้าไปเดินใน Duty Free ครับ มีร้าน Brandname อยู่หลายร้านทีเดียว แต่ปารีสรออยู่ข้างหน้าแล้วจะเสียเงิน Shop ที่นี่ทำไมใช่ไหมครับ ฮ่าๆ
ไม่นานนั้นหลังจากนั่งเหม่อรอเครื่องขึ้นอยู่ที่สนามบินก็ถึงเวลาเดินทางครับ เครื่องที่ไปเป็นเครื่องลำเล็กครับเวลาบินก็เสียวเล็กๆ ใช้เวลาบินจากมิวนิคถึงปารีสประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ บนเครื่องบินก็มีบริการน้ำและของว่าง (ไม่อิ่มครับ ไม่อร่อยด้วย ต้องทำใจ) เครื่องบินลงจอดที่ปารีส Charles de Gaulle Airport Terminal 1 ครับ ถ้าคุณบินมาจากเมืองไทยก็จะลงจอดที่ Terminal 2 เพราะต้องเช็ค VISA กับ Passport พอลงมาถึงแล้วก็ให้หาคำว่า Sortie ครับ ซึ่งแปลว่าทางออกนั่นเอง หากไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องก็ไม่ต้องรออะไรครับ ให้หาทางไปสถานีรถไฟครับ พอเดินมาถึงสถานีรถไฟที่ติดกับสนามบิน เราต้องซื้อตั๋วเข้าปารีสครับ ซึ่งจากสนามบินไปปารีสตั๋วจะราคา 9.50 Euro ครับ ถ้าใครไปถึงเร็วหน่อยอาจจะซื้อเป็น Day Pass ไปเรยก็ได้ ราคา 12.90 Euro สามารถขึ้นรถไฟ รถเมล์ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วันครับ อ่าต้องอธิบายเรื่อง Day Pass นิดนึง คือปารีสจะแบ่งออกเป็น 6 โซนครับ จริงๆแล้วที่ผมไปเที่ยวก็คือโซน 1 เท่านั้นครับ ซึ่งก็คือใจกลางกรุงปารีสนั่นเอง แล้ว Day Pass ของโซน 1 ก็แค่ 5.80 Euro เท่านั้นเองครับ ไอ้ Daypass 12.90 Euro ข้างบนคือมันรวมพื้นที่สนามบินด้วยครับ ซึ่งสนามบินอยู่ที่โซน 5 ไกลออกไป ตั๋วเลยแพงขึ้นครับ
ผมโชคดีมากครับ ตอนไปถึงสถานีรถไฟ มีชาวต่างชาติคนนึงเอา Daypass มาให้ผมครับ บอกว่าเค้ากำลังกลับประเทศแล้ว เค้าไม่ใช้แล้ว ให้ผมเอาไปใช้เดินทางเข้าปารีส แหม ใจดีจริงๆ ดังนั้นการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองปารีสของผมเลยฟรีไปครับ
วันนี้ผมต้องไปพักที่ BVJ Latin Quarter ครับ ต้องนั่งรถสายสีฟ้าจากสนามบินไปลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame แล้วต่อสายสีส้มไปลงที่สถานี Maubert Mutualite ครับ ออกมาแล้วก็เดินไปสักสามร้อยเมตรก็ถึงที่พักครับ พักผ่อนให้หายเหนื่อยสักแป๊ปนึงก็ออกเดินทางโดยเดินขึ้นไปที่มหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ซึ่งออกมาจากโรงแรมแล้วก็เดินตรงขึ้นไปอย่างเดียว อย่าลืมขอแผนที่ปารีสจากโรงแรมนะครับ ผมค่อนข้างโชคร้ายนิดๆครับเพราะว่าตอนที่ไปถึงก็หมดเวลาเยียมชมซะแล้ว ถ้าจำไม่ผิดวิหารเปิดถึง 18:45 ครับ ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้เช้ามาใหม่ก็ได้แต่ยังไงมาถึงแล้วก็ถ่ายรูปไว้สักหน่อย
ผิดหวังเล็กน้อยที่มันปิดไปซะก่อน ในแผนที่จะมีสถานที่ที่มีเครื่องหมายดาวสีเหลืองไว้เยอะครับ ซึ่งหมายถึงจุดที่ควรจะไปเยี่ยมชมครับ โดยรอบๆมหาวิหารก็มีสถานที่มีดาวหลายแห่งเรยทีเดียว ผมก็เดินวนไปวนมาแถวนั้นสักพักครับ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่ Musee Du Louvre เพื่อไปเยี่ยม Ms.Monna Lisa ก่อนจะถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะมีปิรามิดแก้วตั้งอยู่ครับ สวยงามมาก ผมเก็บรูปมาเยอะทีเดียว ตอนนี้มีวิดีโอให้ชมด้วยครับ ถ้าพูดไม่สุภาพก็อย่าว่ากันนะครับ
ผมได้ยินมาว่าในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ท่านได้สะสมผลงานศิลปะเป็นจำนวนมากครับ รวมไปถึงรับบริจาคและกว้านซื้อผลงานศิลปะต่างๆด้วย ซึ่งผลงานทั้งหมดนั้นก็มาจัดแสดงให้ชมที่ Louvre นี่แหละครับ พอเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์แล้วก็โดนตรวจกระเป๋าครับ วันนี้คนเยอะจริงๆ แม้ว่าจะเย็นแล้วก็ตาม เนื่องจากที่ information บอกเราว่าวันศุกร์เย็นจะเปิดให้ชมฟรี เราจึงตัดสินใจมาที่นี่ใหม่ในวันที่ 3 เมษายนครับ
หลังจากออกมาจาก Louvre (โดยที่ไม่ได้ชมอะไร) ก็เดินเลียดริมแม่น้ำที่ตัดผ่านกรุงปารีสครับและได้ไปทานอาหารค่ำที่ภัตคาคารบนเรือซึ่งจอดอยู่ริมแม่น้ำ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วก็กินเต็มที่ไปเรยครับ สั่งเป็นชุดไปเรย 31 Euro มีทั้ง อาหารชิมลาง อาหารจานหลัก เครื่องดื่ม และของหวาน รสชาดอาหารใช้ได้ครับ แปลกๆดี ระหว่างที่รับประทานอาหารนั้นมีเรือหลายลำแล่นผ่าน คนบนเรือก็โบกมือให้ผมด้วย อิอิ เหมือนเป็นดาราเลยทีเดียว
ทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินกลับ BVJ Hostel ครับ อิ่มและนอนหลับฝันดี
วันที่ 2 เมษายน 2552
วันนี้โดนปลุกแต่เช้าเรยครับ (เจ็ดโมง) เพื่อไปเยี่ยมชมมหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ที่เมื่อวานเข้าไม่ได้ ก็เดินออกทางเดิมแล้วไปที่วิหารครับ เข้าไปข้างในแล้วปรากฏว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าข้างในมันก็เหมือนโบสถ์ทั่วๆไปนั่นเอง
ความรู้สึกหลังจากที่ได้เข้าชมมหาวิหารนอตเตอดาม
หลังจากที่ออกมาจากนอตเตอดามแล้ว ผมก็เดินทางกลับมาที่ Hostel ครับ เพื่อมาทานอาหารเช้าแล้วก็ Check-out ครับ เราเดินกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Maubert Mutualite ซึ้อตั๋ว Daypass แบบ 5.80 Euro แล้วนั่งไปต่อรถไฟสายสีฟ้าที่สถานี St-Michel Notre-Dame จากนั้นไปลงที่ Gare du Nord ครับ เดินจากสถานีนี้ประมาณ 500m ก็ถึง Prelude Hotel ครับ ตอนนี้ประมาณสิบโมงเช้าได้ครับ ยัง Check-in ไม่ได้ ผมเรยต้องฝากของเอาไว้ก่อนครับ นั่งพักที่ Lobby ของโรงแรมสักพักก็เดินขึ้นไปยังเนินเขามงต์มาตร์ เดินไปชม Montmarttre Baslique du Sacre-Coeur หรือวิหารพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ภายในมีภาพประดับโมเสคของพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ พอเดินขึ้นมาถึงยอดก็จะสามารถเห็น Paris ได้ทั้งเมืองเชียวครับ
หลังจากนั้นก็เดินชมร้านค้าบริเวณมงต์มาตร์ และลานจิตกรปลาสดูแตตร์ Place du tertre ที่มีจิตกรหลายคนกำลังนั่งวาดผลงานให้ชมกัน ซึ่งตอนนี้ก็เดินตาม Guide ของคุณหมอนะครับ ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนของ Blog คุณหมอนะครับ เพราะว่าผมเดินทับเส้นทางของคุณหมอแบบเต็มๆเลย
จากนั้นผมก็เดินไปเรื่อยๆตามถนน Rue Lepic เจอที่ตั้งของกังหันลมมูแลง เดลา กาแล็ต (Moulin de la Galette) ที่เหลืออยู่แค่หนึ่งเดียวจาก 30 แห่ง เดินไปเรื่อยๆจนเจอโรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulin Rouge) ไม่ได้เข้าไปนะครับ แค่ถ่ายรูปกับป้ายมันเฉยๆ
หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆครับจากโรงระบำโป๊ไปที่ถนน Rue Caulaincourt ไปเยี่ยมชมสุสานขนาดใหญ่ Cimetiere Montmartre แวะทาน Kebab แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ Place De Clichy เพื่อนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังที่สถานี Charles de Gaulle Etolie เพื่อชมประตูชัยหรืออาร์ค เดอ ทริออมป์ (Arc de Triomphe) ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่จัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) ที่นโปเลียนให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในปี 1806 สร้างนานถึง 30 ปี สูง 50 เมตร เสาทั้งสี่ด้านประดับด้วยรูปสลักนูนที่รำลึกถึงชัยชนะสงคราม การจะขึ้นไปบนประตูต้องเสียค่าบัตรประมาณ 5 Euro ครับ ขึ้นด้วยบันไดนะครับ ไม่มีลิฟท์
ก่อนจะเล่าเรื่องของผม ต้องขอเอ่ยถึงแหล่งข้อมูลที่ผมได้มาก่อนครับ ก่อนจะไปปารีส 1 อาทิตย์ ผมได้ Guide มาจาก Blog ของคุณหมอ Dr. Phichet Banyati ครับ ตอน หมอบ้านนอกไปนอก(43): เสน่ห์ปารีส ครับ ซึ่งข้อมูลการเดินทางของคุณหมอได้ช่วยผมเอาไว้ได้มากเรยครับแบบว่าไปแล้วไม่งงเลยทีเดียว ผมจึงตัดสินใจเขียนบทความขึ้นมาบ้างเผื่อไว้ว่ามันอาจจะเป็น Guide ให้กับผู้ที่กำลังจะไปเยือนปารีสได้ครับ
ตอนนี้ผมมาทำโครงงานพิเศษอยู่ที่ประเทศเยอรมันนีครับ เมืองที่ผมอยู่ห่างจากมิวนิค (Munich) ไปประมาณ 200 km ครับ ผมจึงตัดสินใจเดินทางโดยเครื่องบินจากมิวนิคไปปารีสครับ ซึ่งผมได้ Promotion ของ Lufthansa บินในราคาไป-กลับ 99 Euro ครับ (รวมภาษีแล้วก็ 102 Euro) การจองตั๋วเครื่องบินก็จองผ่านทางเว็บไซต์ของสายการบินครับ ผมไปปารีสวันที่ 1-4 เมษายน 2552 ผมจองตั๋วล่วงหน้า 3 อาทิตย์ครับเลยได้ตั๋วราคาค่อนข้างถูก
สำหรับ Hostel ที่ไปพัก ผมได้ไปพักที่ BVJ Latin Quarter ซึ่งสามารถโทรไปจองได้โดยดูเบอร์โทรศัพท์จากเว็บไซต์ http://www.bvj-hotel.com/ ครับ การจองไม่ต้องใช้บัตรเครดิตครับ แต่ว่าสามวันก่อนไปถึงต้องโทรไป confirm อีกรอบ ราคาห้องพักคืนละ 29 Euro/คน(รวมอาหารเช้า) โดยส่วนตัวแล้วผมไม่แนะนำให้ไปพักที่นี่ครับเพราะว่าตอนผมโทรไปจองผมบอกจะพักสามคืนคือวันที่ 1-3 เมษายน แต่ตอนโทรไป confirm เค้าบอกว่าไม่มีห้องพักให้ในวันที่ 2 ทำให้ผมต้องหาโรงแรมใหม่ก่อนเดินทางเพียงแค่ 3 วัน เป็นอะไรที่ทำให้หงุดหงิดมากๆครับ แต่บังเอิญโชคดีที่โรงแรมที่คุณหมอเคยพักมีห้องว่างวันที่ 2-3 เมษายน พอดีครับ ผมก็เรยตัดสินใจจองโดยทันที ซึ่งโรงแรมนี้มีชื่อว่า Hotel Prélude Gare du nord ค่าพักแบบ Dormitory(ห้อง 4 คน) คนละ 30 Euro ต่อคืน(รวมอาหารเช้า) ครับผม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.preludehotel.com/ อย่างที่ในบล็อคของคุณหมอบอกครับ ห้องเล็ก แต่ก็สะดวกสบาย
วันที่ 1 เมษายน 2552
นั่งรถไฟไปที่เมืองมิวนิคแต่เช้า(เก้าโมงเช้า) ไปเดินเล่นในเมืองก่อนไปสนามบินครับ ยังไม่มีร้านค้าเปิดเท่าไร ร้านที่เปิดส่วนมากก็เป็นร้านขาย Sandwich กับร้านขายดอกไม้ครับ ผมทานอาหารกลางวันที่ Munich ก่อนเดินทางไปสนามบิน เครื่องออกเวลาบ่ายสองโมงห้าสิบครับ หลังจากทานอาหารกลางวันและเดินย่อยเสร็จแล้วผมก็นั่งรถไฟต่อไปที่สนามบินนานาชาติมิวนิค (Flughafen München) ผมถึงสนามบินค่อนข้างจะเร็วไปหน่อยครับ แต่ก็ตามธรรมเนียมปฏิบัติก็คือบินข้ามประเทศต้องถึง 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกเป็นอย่างต่ำครับ ซึ่งการมาก่อนเวลาก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ หลังจาก Checked-in เรียบร้อยแล้ว ผมได้เข้าไปเดินใน Duty Free ครับ มีร้าน Brandname อยู่หลายร้านทีเดียว แต่ปารีสรออยู่ข้างหน้าแล้วจะเสียเงิน Shop ที่นี่ทำไมใช่ไหมครับ ฮ่าๆ
ไม่นานนั้นหลังจากนั่งเหม่อรอเครื่องขึ้นอยู่ที่สนามบินก็ถึงเวลาเดินทางครับ เครื่องที่ไปเป็นเครื่องลำเล็กครับเวลาบินก็เสียวเล็กๆ ใช้เวลาบินจากมิวนิคถึงปารีสประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ บนเครื่องบินก็มีบริการน้ำและของว่าง (ไม่อิ่มครับ ไม่อร่อยด้วย ต้องทำใจ) เครื่องบินลงจอดที่ปารีส Charles de Gaulle Airport Terminal 1 ครับ ถ้าคุณบินมาจากเมืองไทยก็จะลงจอดที่ Terminal 2 เพราะต้องเช็ค VISA กับ Passport พอลงมาถึงแล้วก็ให้หาคำว่า Sortie ครับ ซึ่งแปลว่าทางออกนั่นเอง หากไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องก็ไม่ต้องรออะไรครับ ให้หาทางไปสถานีรถไฟครับ พอเดินมาถึงสถานีรถไฟที่ติดกับสนามบิน เราต้องซื้อตั๋วเข้าปารีสครับ ซึ่งจากสนามบินไปปารีสตั๋วจะราคา 9.50 Euro ครับ ถ้าใครไปถึงเร็วหน่อยอาจจะซื้อเป็น Day Pass ไปเรยก็ได้ ราคา 12.90 Euro สามารถขึ้นรถไฟ รถเมล์ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วันครับ อ่าต้องอธิบายเรื่อง Day Pass นิดนึง คือปารีสจะแบ่งออกเป็น 6 โซนครับ จริงๆแล้วที่ผมไปเที่ยวก็คือโซน 1 เท่านั้นครับ ซึ่งก็คือใจกลางกรุงปารีสนั่นเอง แล้ว Day Pass ของโซน 1 ก็แค่ 5.80 Euro เท่านั้นเองครับ ไอ้ Daypass 12.90 Euro ข้างบนคือมันรวมพื้นที่สนามบินด้วยครับ ซึ่งสนามบินอยู่ที่โซน 5 ไกลออกไป ตั๋วเลยแพงขึ้นครับ
ผมโชคดีมากครับ ตอนไปถึงสถานีรถไฟ มีชาวต่างชาติคนนึงเอา Daypass มาให้ผมครับ บอกว่าเค้ากำลังกลับประเทศแล้ว เค้าไม่ใช้แล้ว ให้ผมเอาไปใช้เดินทางเข้าปารีส แหม ใจดีจริงๆ ดังนั้นการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองปารีสของผมเลยฟรีไปครับ
วันนี้ผมต้องไปพักที่ BVJ Latin Quarter ครับ ต้องนั่งรถสายสีฟ้าจากสนามบินไปลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame แล้วต่อสายสีส้มไปลงที่สถานี Maubert Mutualite ครับ ออกมาแล้วก็เดินไปสักสามร้อยเมตรก็ถึงที่พักครับ พักผ่อนให้หายเหนื่อยสักแป๊ปนึงก็ออกเดินทางโดยเดินขึ้นไปที่มหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ซึ่งออกมาจากโรงแรมแล้วก็เดินตรงขึ้นไปอย่างเดียว อย่าลืมขอแผนที่ปารีสจากโรงแรมนะครับ ผมค่อนข้างโชคร้ายนิดๆครับเพราะว่าตอนที่ไปถึงก็หมดเวลาเยียมชมซะแล้ว ถ้าจำไม่ผิดวิหารเปิดถึง 18:45 ครับ ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้เช้ามาใหม่ก็ได้แต่ยังไงมาถึงแล้วก็ถ่ายรูปไว้สักหน่อย
ผิดหวังเล็กน้อยที่มันปิดไปซะก่อน ในแผนที่จะมีสถานที่ที่มีเครื่องหมายดาวสีเหลืองไว้เยอะครับ ซึ่งหมายถึงจุดที่ควรจะไปเยี่ยมชมครับ โดยรอบๆมหาวิหารก็มีสถานที่มีดาวหลายแห่งเรยทีเดียว ผมก็เดินวนไปวนมาแถวนั้นสักพักครับ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่ Musee Du Louvre เพื่อไปเยี่ยม Ms.Monna Lisa ก่อนจะถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะมีปิรามิดแก้วตั้งอยู่ครับ สวยงามมาก ผมเก็บรูปมาเยอะทีเดียว ตอนนี้มีวิดีโอให้ชมด้วยครับ ถ้าพูดไม่สุภาพก็อย่าว่ากันนะครับ
ผมได้ยินมาว่าในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ท่านได้สะสมผลงานศิลปะเป็นจำนวนมากครับ รวมไปถึงรับบริจาคและกว้านซื้อผลงานศิลปะต่างๆด้วย ซึ่งผลงานทั้งหมดนั้นก็มาจัดแสดงให้ชมที่ Louvre นี่แหละครับ พอเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์แล้วก็โดนตรวจกระเป๋าครับ วันนี้คนเยอะจริงๆ แม้ว่าจะเย็นแล้วก็ตาม เนื่องจากที่ information บอกเราว่าวันศุกร์เย็นจะเปิดให้ชมฟรี เราจึงตัดสินใจมาที่นี่ใหม่ในวันที่ 3 เมษายนครับ
หลังจากออกมาจาก Louvre (โดยที่ไม่ได้ชมอะไร) ก็เดินเลียดริมแม่น้ำที่ตัดผ่านกรุงปารีสครับและได้ไปทานอาหารค่ำที่ภัตคาคารบนเรือซึ่งจอดอยู่ริมแม่น้ำ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วก็กินเต็มที่ไปเรยครับ สั่งเป็นชุดไปเรย 31 Euro มีทั้ง อาหารชิมลาง อาหารจานหลัก เครื่องดื่ม และของหวาน รสชาดอาหารใช้ได้ครับ แปลกๆดี ระหว่างที่รับประทานอาหารนั้นมีเรือหลายลำแล่นผ่าน คนบนเรือก็โบกมือให้ผมด้วย อิอิ เหมือนเป็นดาราเลยทีเดียว
ทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินกลับ BVJ Hostel ครับ อิ่มและนอนหลับฝันดี
วันที่ 2 เมษายน 2552
วันนี้โดนปลุกแต่เช้าเรยครับ (เจ็ดโมง) เพื่อไปเยี่ยมชมมหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) ที่เมื่อวานเข้าไม่ได้ ก็เดินออกทางเดิมแล้วไปที่วิหารครับ เข้าไปข้างในแล้วปรากฏว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าข้างในมันก็เหมือนโบสถ์ทั่วๆไปนั่นเอง
ความรู้สึกหลังจากที่ได้เข้าชมมหาวิหารนอตเตอดาม
หลังจากที่ออกมาจากนอตเตอดามแล้ว ผมก็เดินทางกลับมาที่ Hostel ครับ เพื่อมาทานอาหารเช้าแล้วก็ Check-out ครับ เราเดินกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Maubert Mutualite ซึ้อตั๋ว Daypass แบบ 5.80 Euro แล้วนั่งไปต่อรถไฟสายสีฟ้าที่สถานี St-Michel Notre-Dame จากนั้นไปลงที่ Gare du Nord ครับ เดินจากสถานีนี้ประมาณ 500m ก็ถึง Prelude Hotel ครับ ตอนนี้ประมาณสิบโมงเช้าได้ครับ ยัง Check-in ไม่ได้ ผมเรยต้องฝากของเอาไว้ก่อนครับ นั่งพักที่ Lobby ของโรงแรมสักพักก็เดินขึ้นไปยังเนินเขามงต์มาตร์ เดินไปชม Montmarttre Baslique du Sacre-Coeur หรือวิหารพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ภายในมีภาพประดับโมเสคของพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ พอเดินขึ้นมาถึงยอดก็จะสามารถเห็น Paris ได้ทั้งเมืองเชียวครับ
หลังจากนั้นก็เดินชมร้านค้าบริเวณมงต์มาตร์ และลานจิตกรปลาสดูแตตร์ Place du tertre ที่มีจิตกรหลายคนกำลังนั่งวาดผลงานให้ชมกัน ซึ่งตอนนี้ก็เดินตาม Guide ของคุณหมอนะครับ ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนของ Blog คุณหมอนะครับ เพราะว่าผมเดินทับเส้นทางของคุณหมอแบบเต็มๆเลย
จากนั้นผมก็เดินไปเรื่อยๆตามถนน Rue Lepic เจอที่ตั้งของกังหันลมมูแลง เดลา กาแล็ต (Moulin de la Galette) ที่เหลืออยู่แค่หนึ่งเดียวจาก 30 แห่ง เดินไปเรื่อยๆจนเจอโรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulin Rouge) ไม่ได้เข้าไปนะครับ แค่ถ่ายรูปกับป้ายมันเฉยๆ
โรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulin Rouge)
หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆครับจากโรงระบำโป๊ไปที่ถนน Rue Caulaincourt ไปเยี่ยมชมสุสานขนาดใหญ่ Cimetiere Montmartre แวะทาน Kebab แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ Place De Clichy เพื่อนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังที่สถานี Charles de Gaulle Etolie เพื่อชมประตูชัยหรืออาร์ค เดอ ทริออมป์ (Arc de Triomphe) ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่จัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) ที่นโปเลียนให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในปี 1806 สร้างนานถึง 30 ปี สูง 50 เมตร เสาทั้งสี่ด้านประดับด้วยรูปสลักนูนที่รำลึกถึงชัยชนะสงคราม การจะขึ้นไปบนประตูต้องเสียค่าบัตรประมาณ 5 Euro ครับ ขึ้นด้วยบันไดนะครับ ไม่มีลิฟท์
มาถึงยอดจนได้ครับ ปวดขามากๆ บนนี้วิวสวยจริงๆ
พอเดินลงมาแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีทรอคคาเดโร (Trocadero) พอขึ้นจากสถานีรถก็พบพระราชวังชายโย (Palais de Chaillot) เป็นอาคารปีกโค้งสองหลัง (ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์) มีรูปปั้นนายพลฟอชขี่ม้าอยู่ฝั่งตรงข้าม จุดนี้เป็นจุดชมหอไอเฟล (Tour Eiffel) ที่มีลานให้ถ่ายรูปและชมหอไอเฟลได้เต็ม ระวังพวกคนดำขายพวกพวงกุญแจด้วยนะครับ บางคนก็ตื้อให้เราซื้อมากๆ
ลงบันไดเดินเข้าไปหาหอไอเฟ่นที่เห็นอยู่ข้างหน้า บริเวณหอไอเฟลนักท่องเที่ยวต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วและขึ้นลิฟต์ หอนี้สร้างด้วยเหล็กล้วนสูง 324 เมตร หนัก 10,000 ตัน โดยกุสตาฟ ไอเฟลในปี 1889 เพื่อเป็นประติมากรรมฉลอง 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส วันนี้ที่ไปเขาเปิดให้ขึ้นแค่สองขาจากสี่ขาเท่านั้นครับ ขาข้างนึงให้ขึ้นโดยใช้ลิฟท์ อีกข้างให้เดินขึ้นครับ ผมเลือกที่จะไปทางที่ต้องเดินขึ้นครับเพราะคนต่อคิวซื้อตั๋วไม่เยอะมาก เสียเงินค่าขึ้นประมาณ 4 Euro ได้ เดินกันขาแทบลากก็มาถึงชั้น 1 จนได้ครับ มีวีดีโอให้ชมอีกเช่นกัน
ชั้น 1 ไอเฟลครับ
พักเหนื่อยกันสักแป๊ปนึงก็เดินขึ้นชั้นสองต่อครับ ตอนนี้ขาผมปวดมากๆๆๆ แต่ก็สู้ครับ ยังมีอีกสองชั้นให้เดิน พอมาถึงชั้นสองก็หอบครับ ไม่ค่อยออกกำลังกายก็แบบนี้แหละครับ จากนั้นเราก็ซื้อตั๋วเพื่อขึ้นชั้นสามอีกประมาณ 4 Euro ครับ ชั้นสามนี่ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแล้วครับมีแต่ลิฟท์ พอขึ้นมาถึงชั้นสุงสูดก็เกิดความรู้สึกว่าดีใจมากครับ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะได้มายืนที่นี่ ฮ่าๆ มีวีดีโออีกเช่นเคย
หลังจากนั้นก็นั่งลิฟท์ลงมาจากหอไอเฟลครับ แล้วก็เดินเลียบคลองเพื่อไปชม Statue of Liberty อันที่สองของโลกครับ
เดินออกมาจากรูปปั้นไปทางตึก Radio France แล้วไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kennerdy-Radio France กลับไปยัง Charles de Gaulle Etolie หรือสถานีที่ประตูชัยนั่นเอง โดยเปลี่ยนสายรถไฟเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานี Avenue Foch ครับ พอออกมาแล้วก็เดินไปตามถนน Avenue Des Champs Elysees เป็นถนนที่ว่ากันว่าที่ดินแพงที่สุดในโลก ถนนนี้มีแต่ของ Brandname ขายครับ น่าเสียดายว่าวันนี้ผมมาถึงที่นี่ช้าไปหน่อย ร้านค้าปิดเกือบหมดแล้ว เราแวะทาน Fastfood กันที่ถนนนี้ครับ จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังสถานี Charles de Gaulle Etolie แล้วก็นั่งไปที่ Trocadero เพื่อไปชม Eiffel ตอนกลางคืนครับ จากนั้นก็นั่งรถไปที่สถานี Anvers เพื่อกลับที่พักครับ เพื่อนร่วมห้องนอนกรนดังมาก นอนไม่หลับเรยคืนนี้ เซ็งเป็ด!
วันที่ 3 เมษายน 2552
วันนี้ตื่นแต่เช้าแต่ไม่เช้ามากครับประมาณ 8 โมงครึ่ง ล้างหน้าแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ Lobby ของโรงแรมครับ กินง่ายๆครับ ครัวแซนด์ นม น้ำส้ม หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทางไปยังสถานี Anvers ครับ ผมซื้อตั๋วแบบ Daypass ที่ไปได้ Zone 1-5 ราคาประมาณ 12 Euro เพราะว่าวันนี้ผมกำลังจะไปที่พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Versailles) ซึ่งอยู่ที่โซน 5 ครับ หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Porte Dauphine แล้วเดินอีกนิดไปที่สถานี Avenue Foch เพื่อต่อรถสายสีเหลืองไปยังพระราชวังแวร์ซาย นั่งรถจาก Avenue Foch ไม่นานนักก็มาถึงจนได้ครับ มาถึงที่นี่ประมาณ 10 โมงได้ ผมเดินออกมาจากสถานีแล้วก็ไปยังร้านขายทัวร์ครับ จ่ายไป 26 Euro จะมีไกด์พูดภาษาอังกฤษพาไปเที่ยวชมพระราชวัง วันนี้อากาศไม่ค่อยดีครับ หมอกลงเลยถ่ายไม่เห็นตัวพระราชวัง
ลงบันไดเดินเข้าไปหาหอไอเฟ่นที่เห็นอยู่ข้างหน้า บริเวณหอไอเฟลนักท่องเที่ยวต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วและขึ้นลิฟต์ หอนี้สร้างด้วยเหล็กล้วนสูง 324 เมตร หนัก 10,000 ตัน โดยกุสตาฟ ไอเฟลในปี 1889 เพื่อเป็นประติมากรรมฉลอง 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส วันนี้ที่ไปเขาเปิดให้ขึ้นแค่สองขาจากสี่ขาเท่านั้นครับ ขาข้างนึงให้ขึ้นโดยใช้ลิฟท์ อีกข้างให้เดินขึ้นครับ ผมเลือกที่จะไปทางที่ต้องเดินขึ้นครับเพราะคนต่อคิวซื้อตั๋วไม่เยอะมาก เสียเงินค่าขึ้นประมาณ 4 Euro ได้ เดินกันขาแทบลากก็มาถึงชั้น 1 จนได้ครับ มีวีดีโอให้ชมอีกเช่นกัน
ชั้น 1 ไอเฟลครับ
พักเหนื่อยกันสักแป๊ปนึงก็เดินขึ้นชั้นสองต่อครับ ตอนนี้ขาผมปวดมากๆๆๆ แต่ก็สู้ครับ ยังมีอีกสองชั้นให้เดิน พอมาถึงชั้นสองก็หอบครับ ไม่ค่อยออกกำลังกายก็แบบนี้แหละครับ จากนั้นเราก็ซื้อตั๋วเพื่อขึ้นชั้นสามอีกประมาณ 4 Euro ครับ ชั้นสามนี่ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแล้วครับมีแต่ลิฟท์ พอขึ้นมาถึงชั้นสุงสูดก็เกิดความรู้สึกว่าดีใจมากครับ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะได้มายืนที่นี่ ฮ่าๆ มีวีดีโออีกเช่นเคย
หลังจากนั้นก็นั่งลิฟท์ลงมาจากหอไอเฟลครับ แล้วก็เดินเลียบคลองเพื่อไปชม Statue of Liberty อันที่สองของโลกครับ
เดินออกมาจากรูปปั้นไปทางตึก Radio France แล้วไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kennerdy-Radio France กลับไปยัง Charles de Gaulle Etolie หรือสถานีที่ประตูชัยนั่นเอง โดยเปลี่ยนสายรถไฟเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานี Avenue Foch ครับ พอออกมาแล้วก็เดินไปตามถนน Avenue Des Champs Elysees เป็นถนนที่ว่ากันว่าที่ดินแพงที่สุดในโลก ถนนนี้มีแต่ของ Brandname ขายครับ น่าเสียดายว่าวันนี้ผมมาถึงที่นี่ช้าไปหน่อย ร้านค้าปิดเกือบหมดแล้ว เราแวะทาน Fastfood กันที่ถนนนี้ครับ จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังสถานี Charles de Gaulle Etolie แล้วก็นั่งไปที่ Trocadero เพื่อไปชม Eiffel ตอนกลางคืนครับ จากนั้นก็นั่งรถไปที่สถานี Anvers เพื่อกลับที่พักครับ เพื่อนร่วมห้องนอนกรนดังมาก นอนไม่หลับเรยคืนนี้ เซ็งเป็ด!
วันที่ 3 เมษายน 2552
วันนี้ตื่นแต่เช้าแต่ไม่เช้ามากครับประมาณ 8 โมงครึ่ง ล้างหน้าแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ Lobby ของโรงแรมครับ กินง่ายๆครับ ครัวแซนด์ นม น้ำส้ม หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทางไปยังสถานี Anvers ครับ ผมซื้อตั๋วแบบ Daypass ที่ไปได้ Zone 1-5 ราคาประมาณ 12 Euro เพราะว่าวันนี้ผมกำลังจะไปที่พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Versailles) ซึ่งอยู่ที่โซน 5 ครับ หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Porte Dauphine แล้วเดินอีกนิดไปที่สถานี Avenue Foch เพื่อต่อรถสายสีเหลืองไปยังพระราชวังแวร์ซาย นั่งรถจาก Avenue Foch ไม่นานนักก็มาถึงจนได้ครับ มาถึงที่นี่ประมาณ 10 โมงได้ ผมเดินออกมาจากสถานีแล้วก็ไปยังร้านขายทัวร์ครับ จ่ายไป 26 Euro จะมีไกด์พูดภาษาอังกฤษพาไปเที่ยวชมพระราชวัง วันนี้อากาศไม่ค่อยดีครับ หมอกลงเลยถ่ายไม่เห็นตัวพระราชวัง
หมอกลงจัดจริงๆครับ เห็นรั้วสีทองอ่ะเปล่า?
ผมได้เข้าไปเดินเกือบทุกห้องของข้างในพระราชวังเรยครับ ห้องนอนพระราชา ห้องนอนพระราชินี ซึ่งแน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวไปกับเพียบ พระราชวังก็ใหญ่มากจริงๆ เดินกันจนน่องโป่งเลยทีเดียว
หลังจากที่ทัวร์จบแล้วผมก็ออกมาข้างนอกวังมาชมสวนครับใหญ่มากกกกกกกกก เดินกันวันนึงก็ไม่รอบครับ ซึ่งภายในสวนยักษ์ก็จะมีคลองรูปกากบาทตัดผ่าน
ก่อนที่จะทำกิจกรรมอื่นใดต่อไป ผมก็ไปแวะทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆที่ร้านอาหารที่แอบอยู่ในสวนครับ ราคาก็แพงพอสมควรเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ามันอยู่ในวังนั่นเอง พอทานอาหารเสร็จแล้วเกิดนึกสนุกขึ้นมาครับเลยไปเช่าเรือมาพายเล่นในคลอง แหม สุดยอดจริงๆ ได้มาพายเรือในพระราชวังแวร์ซาย
พายจนหอบแล้วก็นั่งรถไฟกลับไปที่ถนน Avenue Des Champs Elysees ครับ คราวนี้ร้านยังไม่ปิด ได้เดินช็อบสักที ได้เดินเข้าไปในร้าน Louis Vuitton สาขาแรกของโลกด้วยครับ ร้านใหญ่มาก มีหลายชั้น ขายสินค้าของ LV ทุกประเภท ไปถูกใจกระเป๋าอยู่ใบนึงครับคือ Damier Brooklyn PM แต่ก็ตัดกิเลสออกมาได้ครับ ทีนี้ตอนเดินออกมา เดินไปขึ้นรถไฟผิดฝั่งครับทำให้ต้องเดินผ่านร้าน LV อีกรอบ อดใจไม่ได้เลยซื้อเลย เพราะยังไงก็ได้คืนภาษี 12% ที่สนามบิน (ทำเรื่องคืนได้ตอนเดินทางออกจาก European Union ภายใน 3 เดือนครับ)ครับ อย่าลืมเอา passport ไปด้วยนะครับเพราะต้องให้ร้าน LV ออกเอกสารทำเรื่องคืนภาษี T_T หมดตูดครับ แต่ไหนๆก็มาฝรั่งเศสทั้งที เดี๋ยวมีเรื่องคาใจครับ
ออกมาพร้อมกระเป๋าหลุยส์ เดินต่อไปยังสถานี Champs Elysses Clemenceau เพื่อนั่งไปยังสถานี Palais Royal Musee du Louvre ครับกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ Louvre นั่นเอง ใช่แล้ว คืนนี้ผมมีนัดกับ Monna Lisa ครับ วันนี้เข้าฟรีครับหลังหกโมงเย็นถ้าอายุน้อยกว่า 25 พอเข้ามายัง Louvre แล้ว ผมก็ไม่รอช้าเดินไปหาเจ๊ Monna Lisa ทันที ถ่ายวีดีโอมาให้ชมกันด้วยครับ
พิพิธภัณฑ์ Louvre นี่กว้างใหญ่มากครับมีถึง 4 ชั้นเรยทีเดียว ผมซึ่งน่องและขาหมดความรู้สึกไปแล้วทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ทั่วครับ น่าเสียดายจริงๆ แต่ก็ได้ไปถ่ายรูปกับสิ่งของทางประวัติศาสตร์บางอย่างนะครับอย่างเช่น Code of Hammurabi เป็นจารึกกฏหมายแรกของโลกครับ
ออกจาก Louvre แล้วก็นั่งรถไฟกลับโรงแรมครับอาบน้ำ พักเหนื่อยแล้วก็ออกมาทานอาหารจีนฝั่งตรงข้ามโรงแรมครับ อาหารฝรั่งเศสไม่ถูกปากผมอ่ะครับ ผมคิดว่าบางคนที่บอกว่ามันอร่อยเพราะว่ามันแพงนั่นเอง แต่ร้านอาหารจีนที่นี่ก็ทำเปรี้ยว+เค็มจริงๆ ทานเสร็จแล้วก็กลับโรงแรมไปหลับยาวครับ นอนไม่ได้อีกเช่นเคย Roommate นอนกรนกันสองคน เวรกรรมของผมจริงๆ
วันที่ 4 เมษายน 2552
วันนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ ตื่นเช้ามาทานอาหารแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Gare du Nord เพื่อไปยัง สนามบิน Charles de Gaulle นั่นเอง กว่าจะผ่านช่วง Security นี่นานมากครับเพราะว่าคนเยอะมาก แนะนำให้ไปก่อนเวลาบิน 3 ชม เหมือนเดิมนะครับ
จบการเดินทางไปปารีสแค่นี้ล่ะครับ มีความสุขมากจริงๆ ก็มีข้อแนะนำและระวังบางข้อนะครับที่อยากจะแบ่งปัน
ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเป็นล้านเดินทางมาที่ปารีสครับ มหานครแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มัดใจผู้คนให้หลั่งไหลกันมาที่นี่ครับ เค้าว่ากันว่าหากมาที่ปารีสครั้งนึงแล้ว คุณจะจำปารีสไปตลอดทั้งชีวิต ผมก็คิดว่าเป็นความจริงครับ เพราะไม่มีอะไรเลยที่ไม่ประทับใจจริงๆ
ก่อนจากกันผมมีประมวลภาพการเดินทางครั้งนี้ด้วยครับ แต่ไม่ได้เขียนอธิบายรูปนะครับเพราะมันเยอะมาก
ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ
หลังจากที่ทัวร์จบแล้วผมก็ออกมาข้างนอกวังมาชมสวนครับใหญ่มากกกกกกกกก เดินกันวันนึงก็ไม่รอบครับ ซึ่งภายในสวนยักษ์ก็จะมีคลองรูปกากบาทตัดผ่าน
ก่อนที่จะทำกิจกรรมอื่นใดต่อไป ผมก็ไปแวะทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆที่ร้านอาหารที่แอบอยู่ในสวนครับ ราคาก็แพงพอสมควรเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ามันอยู่ในวังนั่นเอง พอทานอาหารเสร็จแล้วเกิดนึกสนุกขึ้นมาครับเลยไปเช่าเรือมาพายเล่นในคลอง แหม สุดยอดจริงๆ ได้มาพายเรือในพระราชวังแวร์ซาย
พายจนหอบแล้วก็นั่งรถไฟกลับไปที่ถนน Avenue Des Champs Elysees ครับ คราวนี้ร้านยังไม่ปิด ได้เดินช็อบสักที ได้เดินเข้าไปในร้าน Louis Vuitton สาขาแรกของโลกด้วยครับ ร้านใหญ่มาก มีหลายชั้น ขายสินค้าของ LV ทุกประเภท ไปถูกใจกระเป๋าอยู่ใบนึงครับคือ Damier Brooklyn PM แต่ก็ตัดกิเลสออกมาได้ครับ ทีนี้ตอนเดินออกมา เดินไปขึ้นรถไฟผิดฝั่งครับทำให้ต้องเดินผ่านร้าน LV อีกรอบ อดใจไม่ได้เลยซื้อเลย เพราะยังไงก็ได้คืนภาษี 12% ที่สนามบิน (ทำเรื่องคืนได้ตอนเดินทางออกจาก European Union ภายใน 3 เดือนครับ)ครับ อย่าลืมเอา passport ไปด้วยนะครับเพราะต้องให้ร้าน LV ออกเอกสารทำเรื่องคืนภาษี T_T หมดตูดครับ แต่ไหนๆก็มาฝรั่งเศสทั้งที เดี๋ยวมีเรื่องคาใจครับ
ออกมาพร้อมกระเป๋าหลุยส์ เดินต่อไปยังสถานี Champs Elysses Clemenceau เพื่อนั่งไปยังสถานี Palais Royal Musee du Louvre ครับกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ Louvre นั่นเอง ใช่แล้ว คืนนี้ผมมีนัดกับ Monna Lisa ครับ วันนี้เข้าฟรีครับหลังหกโมงเย็นถ้าอายุน้อยกว่า 25 พอเข้ามายัง Louvre แล้ว ผมก็ไม่รอช้าเดินไปหาเจ๊ Monna Lisa ทันที ถ่ายวีดีโอมาให้ชมกันด้วยครับ
พิพิธภัณฑ์ Louvre นี่กว้างใหญ่มากครับมีถึง 4 ชั้นเรยทีเดียว ผมซึ่งน่องและขาหมดความรู้สึกไปแล้วทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ทั่วครับ น่าเสียดายจริงๆ แต่ก็ได้ไปถ่ายรูปกับสิ่งของทางประวัติศาสตร์บางอย่างนะครับอย่างเช่น Code of Hammurabi เป็นจารึกกฏหมายแรกของโลกครับ
ออกจาก Louvre แล้วก็นั่งรถไฟกลับโรงแรมครับอาบน้ำ พักเหนื่อยแล้วก็ออกมาทานอาหารจีนฝั่งตรงข้ามโรงแรมครับ อาหารฝรั่งเศสไม่ถูกปากผมอ่ะครับ ผมคิดว่าบางคนที่บอกว่ามันอร่อยเพราะว่ามันแพงนั่นเอง แต่ร้านอาหารจีนที่นี่ก็ทำเปรี้ยว+เค็มจริงๆ ทานเสร็จแล้วก็กลับโรงแรมไปหลับยาวครับ นอนไม่ได้อีกเช่นเคย Roommate นอนกรนกันสองคน เวรกรรมของผมจริงๆ
วันที่ 4 เมษายน 2552
วันนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ ตื่นเช้ามาทานอาหารแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Gare du Nord เพื่อไปยัง สนามบิน Charles de Gaulle นั่นเอง กว่าจะผ่านช่วง Security นี่นานมากครับเพราะว่าคนเยอะมาก แนะนำให้ไปก่อนเวลาบิน 3 ชม เหมือนเดิมนะครับ
จบการเดินทางไปปารีสแค่นี้ล่ะครับ มีความสุขมากจริงๆ ก็มีข้อแนะนำและระวังบางข้อนะครับที่อยากจะแบ่งปัน
- Paris มีสนามบินสองแห่งนะครับคือ Charles de Gaulle และ Orly ขึ้นลงที่ไหนต้องระวังนะครับ เพราะว่าบางคนไปปารีสตอนมาลงที่ Charles de Gaulle แต่ตอนกลับต้องขึ้นที่ Orly แต่ไปผิดที่ครับ
- มีกระเป๋าใบเล็กๆไว้ใส่น้ำดื่มกับกล้องแล้วก็เอกสารต่างๆเช่นแผนที่ครับ เอาน้ำดื่มไปเองจะประหยัดไปได้มากทีเดียว
- ห้ามน้ำของเหลวทุกชนิดขึ้นเครื่องบินนะครับ
- อย่าทิ้งของมีค่าและ passport ไว้ที่ Hostel นะครับ เอาติดตัวไปตลอด
ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเป็นล้านเดินทางมาที่ปารีสครับ มหานครแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มัดใจผู้คนให้หลั่งไหลกันมาที่นี่ครับ เค้าว่ากันว่าหากมาที่ปารีสครั้งนึงแล้ว คุณจะจำปารีสไปตลอดทั้งชีวิต ผมก็คิดว่าเป็นความจริงครับ เพราะไม่มีอะไรเลยที่ไม่ประทับใจจริงๆ
ก่อนจากกันผมมีประมวลภาพการเดินทางครั้งนี้ด้วยครับ แต่ไม่ได้เขียนอธิบายรูปนะครับเพราะมันเยอะมาก
ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)