วันนี้มาฟังผมบ่นเรื่อง Design หน้าแรกของเว็บไซต์ดีกว่า ระหว่างคุณคนไทยกับฝรั่งขี้นก
ข้าราชการไทยและคนแก่ผู้มีอำนาจ(ส่วนมาก)
"ทำไม Link บทความที่ผมเขียนไม่ได้อยู่หน้าแรก! บทความผมไม่สำคัญใช่ไหม?"
"ทำไมเอาแบบฟอร์มที่ให้ดาวน์โหลดไปอยู่หน้าอื่น(หน้าดาวน์โหลด) คนจะรู้ไหมว่ามันมีให้โหลดแล้ว!?"
"Link บนหน้าแรกอ่ะใส่วันที่ตามหลังด้วย คนมันจะได้รู้ว่ามัน update แค่ไหน!"
"ข่าวต้องเป็นตัวอักษรเลื่อนสิ มันถึงได้น่าสนใจ เอาไปวางเรียงๆกันใครจะอ่านไหม"
"ทำไมหน้าแรกถึงไม่มี Link กลับไปที่เว็บกระทรวงผม"
"รูปกิจกรรมที่ผ่านมาเอาขึ้นไว้หน้าแรกสิ คนจะได้เห็นๆ!"
"ทำไมเว็บถึงไม่เป็นสีชมพู!? (เว็บงานรถยนต์แต่จะเอาสีชมพูเพื่อสะท้อนถึงสถาบันที่จัด 0.o )"
..
...(censor)
.....(ข้อมูลปกปิด)
พวกเอ็งกะเปิดเว็บมาแล้วไม่คลิกเรยใช่ไหม?
คน Canada
Horrible site, information badly presented. They try to put everything on the front page, instead of having multiple layers of navigation. This to me suggests that they developed this thing on a whim. —M, 42, Canada
แปลนะครับ
เว็บแม่งโครตแย่ นำเสนอข้อมูลได้ห่วยแตก ใส่ข้อมูลทุกอย่างไว้แต่ในหน้าแรกแทนที่จะจัดโครงสร้างให้เป็นชั้นๆ คนทำเว็บมันคงทำไปลวกๆ เอาแบบเสร็จเร็วๆ - คุณ M อายุ 42 จากแคนาดา
"ประเทศไทยไม่เจริญเพราะคนไทยชอบคิดไปเองว่าที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว" - ผมเอง
"ให้อภัย" และ "มองข้ามความผิดพลาด" บ้าง
ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนผมได้ email ฉบับหนึ่งซึ่งเชิญชวนให้ผมเข้าไปติเตียนการทำงานของพนักงานใหม่ของร้าน 108 สาขาสถาบัน AIT ในกระดานสนทนาของร้าน 108 ครับ
เมื่อผมเข้าไปในกระดานสนทนาดังกล่าวได้พบว่ามีผู้เข้ามาติเตียนมากมายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศเกี่ยวกับการทำงานของน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ เช่น ทอนเงินผิดพลาด, ทำงานไม่กระฉับกระเฉง, คุยโทรศัพท์, แอบหลับตอนดึกๆ, ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริงครับ จากคำติเตียนเหล่านั้นน้องเค้าก็โดนเจ้าของร้านเรียกตัวเข้าไปตักเตือนตามระเบียบ หลังจากนั้นมาผมก็เห็นน้องเค้าปฏิบัติตัวดีขึ้นนะครับแม้ว่าจะยังทำบางอย่างผิดพลาดก็ตาม
ผมเห็นใจน้องๆพนักงานนะครับ น้องเค้าก็เป็นคนต่างจังหวัด เรียนก็ไม่ได้สูงมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ แต่ต้องมาทำงานในสถาบันต่างชาติ ก็มีความกดดันพอสมควรครับ ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ซื้อได้แต่เติมไม่เป็น บางคนก็ไม่รู้ว่าจะซื้อยี่ห้ออะไร แล้วจะให้น้องพนักงานเค้าเติมให้ เค้าก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำอะไรเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าตอนไหนมีคนไทยใจดีช่วยแปลให้ก็สบายไป ถ้าตอนไหนไม่มีก็ซวยครับ บางคนซื้อผิดก็มาด่าทีหลัง เช่น ยี่ห้อนี้โทรไปเมืองนอกไม่ได้ ซื้อผิดเครือข่ายเลยเติมเงินไม่ได้ ขอคืนเงิน และอีกมากมายครับ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เช่น ทอนเงินผิดพลาด ขาดไปบาทสองบาทหรือมากกว่านั้น ผมก็มองว่าน้องเค้ายังใหม่กับอาชีพนี้และเวลามีคนมาซื้อเยอะๆก็พลาดกันได้ ก็บอกน้องเค้าได้ครับว่าทอนผิดนะ บางทีเห็นมีมาบ่นว่าน้องเค้าขอเงินทอนบ้างซึ่งไม่กี่บาท ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ด่ากันให้กระทู้แตก ที่น้องเค้าขอก็เพราะว่าน่าจะทอนเงินเกินให้คนอื่นครับแล้วทำให้เงินขาดไป ทำให้ต้องหาเงินมาเติมให้ครบครับ ซึ่งเค้าก็หวังว่าจะมีคนใจดีมาช่วยเค้า ซึ่งก็ "ไม่มี" ที่สถาบันฯ แห่งนี้
ผมก็ได้พูดคุยกับน้องเค้าบ้างนะครับ นอกเหนือจากการสู้รบตบมือกับลูกค้าหลากชาติแล้ว น้องเค้ายังต้องทำยอดขายด้วย เช่น บางครั้งน้องเค้าก็ขอร้องให้ผมช่วยซื้อน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งซึ่งวันนี้ต้องการให้ได้ 20 ขวด ไม่เช่นนั้นจะโดนหักเงินเดือน หรือไม่ก็สัปดาห์นี้ต้องมียอดขายรวมมากกว่า 7 หมื่น ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันนะครับ เงินเดือนของน้องๆเค้าก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย อาจจะได้แค่ชั่วโมงละ 30 กว่าบาทหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่เราก็อยากให้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานได้ไร้ที่ติ และสุภาพ
ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ไปจ้างศาสตราจารย์ปริญญาเอกมาขายเถอะครับ แต่คงจ้างไม่ได้ด้วยเงิน 30 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน
เมื่อเร็วๆนี้น้องเค้าก็โดนชาวต่างชาติและคนไทยติเตียนอีกรอบด้วยเรื่องที่น่าจะให้อภัยกันได้ คราวนี้ได้เรื่องเลยทีเดียว น้องเค้าต้องออกจากงานครับ คำว่าออกจากงานคือ โดนไล่ออกนะครับไม่ได้ถูกย้ายไปสาขาอื่น ซึ่งน้องเค้าจะทำงานวันที่ 10 มิถุนายน นี้เป็นวันสุดท้าย วันนี้ผมไปซื้อของก็เห็นน้องเค้าน้ำตาซึมและดูเศร้ามาก ซึ่งผมก็เสียใจกับน้องเค้าจริงๆ
บางคนอาจจะคิดว่าทำอาชีพบริการทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็คิดว่าถูกครับ แต่น้องเค้าก็กำลังปรับตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น
การให้อภัยและมองข้ามความผิดพลาดเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าทำให้คนอื่นเค้ามอง AIT ว่าเป็น "สถาบันของปัญญาชนใจแคบ" เลยครับ
เมื่อผมเข้าไปในกระดานสนทนาดังกล่าวได้พบว่ามีผู้เข้ามาติเตียนมากมายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศเกี่ยวกับการทำงานของน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ เช่น ทอนเงินผิดพลาด, ทำงานไม่กระฉับกระเฉง, คุยโทรศัพท์, แอบหลับตอนดึกๆ, ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริงครับ จากคำติเตียนเหล่านั้นน้องเค้าก็โดนเจ้าของร้านเรียกตัวเข้าไปตักเตือนตามระเบียบ หลังจากนั้นมาผมก็เห็นน้องเค้าปฏิบัติตัวดีขึ้นนะครับแม้ว่าจะยังทำบางอย่างผิดพลาดก็ตาม
ผมเห็นใจน้องๆพนักงานนะครับ น้องเค้าก็เป็นคนต่างจังหวัด เรียนก็ไม่ได้สูงมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ แต่ต้องมาทำงานในสถาบันต่างชาติ ก็มีความกดดันพอสมควรครับ ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ซื้อได้แต่เติมไม่เป็น บางคนก็ไม่รู้ว่าจะซื้อยี่ห้ออะไร แล้วจะให้น้องพนักงานเค้าเติมให้ เค้าก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำอะไรเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าตอนไหนมีคนไทยใจดีช่วยแปลให้ก็สบายไป ถ้าตอนไหนไม่มีก็ซวยครับ บางคนซื้อผิดก็มาด่าทีหลัง เช่น ยี่ห้อนี้โทรไปเมืองนอกไม่ได้ ซื้อผิดเครือข่ายเลยเติมเงินไม่ได้ ขอคืนเงิน และอีกมากมายครับ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เช่น ทอนเงินผิดพลาด ขาดไปบาทสองบาทหรือมากกว่านั้น ผมก็มองว่าน้องเค้ายังใหม่กับอาชีพนี้และเวลามีคนมาซื้อเยอะๆก็พลาดกันได้ ก็บอกน้องเค้าได้ครับว่าทอนผิดนะ บางทีเห็นมีมาบ่นว่าน้องเค้าขอเงินทอนบ้างซึ่งไม่กี่บาท ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ด่ากันให้กระทู้แตก ที่น้องเค้าขอก็เพราะว่าน่าจะทอนเงินเกินให้คนอื่นครับแล้วทำให้เงินขาดไป ทำให้ต้องหาเงินมาเติมให้ครบครับ ซึ่งเค้าก็หวังว่าจะมีคนใจดีมาช่วยเค้า ซึ่งก็ "ไม่มี" ที่สถาบันฯ แห่งนี้
ผมก็ได้พูดคุยกับน้องเค้าบ้างนะครับ นอกเหนือจากการสู้รบตบมือกับลูกค้าหลากชาติแล้ว น้องเค้ายังต้องทำยอดขายด้วย เช่น บางครั้งน้องเค้าก็ขอร้องให้ผมช่วยซื้อน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งซึ่งวันนี้ต้องการให้ได้ 20 ขวด ไม่เช่นนั้นจะโดนหักเงินเดือน หรือไม่ก็สัปดาห์นี้ต้องมียอดขายรวมมากกว่า 7 หมื่น ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันนะครับ เงินเดือนของน้องๆเค้าก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย อาจจะได้แค่ชั่วโมงละ 30 กว่าบาทหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่เราก็อยากให้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานได้ไร้ที่ติ และสุภาพ
ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ไปจ้างศาสตราจารย์ปริญญาเอกมาขายเถอะครับ แต่คงจ้างไม่ได้ด้วยเงิน 30 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน
"สำหรับผมน้องเค้าก็เป็นชาว AIT คนหนึ่ง ผมคิดว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ช่วยเหลือกัน คุยกันได้ และพร้อมที่จะให้อภัยกันได้เสมอ"
เมื่อเร็วๆนี้น้องเค้าก็โดนชาวต่างชาติและคนไทยติเตียนอีกรอบด้วยเรื่องที่น่าจะให้อภัยกันได้ คราวนี้ได้เรื่องเลยทีเดียว น้องเค้าต้องออกจากงานครับ คำว่าออกจากงานคือ โดนไล่ออกนะครับไม่ได้ถูกย้ายไปสาขาอื่น ซึ่งน้องเค้าจะทำงานวันที่ 10 มิถุนายน นี้เป็นวันสุดท้าย วันนี้ผมไปซื้อของก็เห็นน้องเค้าน้ำตาซึมและดูเศร้ามาก ซึ่งผมก็เสียใจกับน้องเค้าจริงๆ
หลังจากวันที่ 10 น้องเค้าจะไปทำอะไรครับ?
จะหางานใหม่ได้หรือไม่ก็ไม่มีใครรู้?
แล้วน้องเค้าต้องมีใครให้เลี้ยงดูหรือเปล่า?
มีใครเคยคิดบ้างไหมว่าคำพูดและการกระทำของเราทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน?
เราเห็นแก่ประโยชน์และความพอใจของตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่นหรือไม่?
บางคนอาจจะคิดว่าทำอาชีพบริการทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็คิดว่าถูกครับ แต่น้องเค้าก็กำลังปรับตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น
การให้อภัยและมองข้ามความผิดพลาดเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าทำให้คนอื่นเค้ามอง AIT ว่าเป็น "สถาบันของปัญญาชนใจแคบ" เลยครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)