เมื่อผมเข้าไปในกระดานสนทนาดังกล่าวได้พบว่ามีผู้เข้ามาติเตียนมากมายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศเกี่ยวกับการทำงานของน้องพนักงานที่เข้ามาใหม่ เช่น ทอนเงินผิดพลาด, ทำงานไม่กระฉับกระเฉง, คุยโทรศัพท์, แอบหลับตอนดึกๆ, ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริงครับ จากคำติเตียนเหล่านั้นน้องเค้าก็โดนเจ้าของร้านเรียกตัวเข้าไปตักเตือนตามระเบียบ หลังจากนั้นมาผมก็เห็นน้องเค้าปฏิบัติตัวดีขึ้นนะครับแม้ว่าจะยังทำบางอย่างผิดพลาดก็ตาม
ผมเห็นใจน้องๆพนักงานนะครับ น้องเค้าก็เป็นคนต่างจังหวัด เรียนก็ไม่ได้สูงมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ แต่ต้องมาทำงานในสถาบันต่างชาติ ก็มีความกดดันพอสมควรครับ ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ซื้อได้แต่เติมไม่เป็น บางคนก็ไม่รู้ว่าจะซื้อยี่ห้ออะไร แล้วจะให้น้องพนักงานเค้าเติมให้ เค้าก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำอะไรเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าตอนไหนมีคนไทยใจดีช่วยแปลให้ก็สบายไป ถ้าตอนไหนไม่มีก็ซวยครับ บางคนซื้อผิดก็มาด่าทีหลัง เช่น ยี่ห้อนี้โทรไปเมืองนอกไม่ได้ ซื้อผิดเครือข่ายเลยเติมเงินไม่ได้ ขอคืนเงิน และอีกมากมายครับ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เช่น ทอนเงินผิดพลาด ขาดไปบาทสองบาทหรือมากกว่านั้น ผมก็มองว่าน้องเค้ายังใหม่กับอาชีพนี้และเวลามีคนมาซื้อเยอะๆก็พลาดกันได้ ก็บอกน้องเค้าได้ครับว่าทอนผิดนะ บางทีเห็นมีมาบ่นว่าน้องเค้าขอเงินทอนบ้างซึ่งไม่กี่บาท ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ด่ากันให้กระทู้แตก ที่น้องเค้าขอก็เพราะว่าน่าจะทอนเงินเกินให้คนอื่นครับแล้วทำให้เงินขาดไป ทำให้ต้องหาเงินมาเติมให้ครบครับ ซึ่งเค้าก็หวังว่าจะมีคนใจดีมาช่วยเค้า ซึ่งก็ "ไม่มี" ที่สถาบันฯ แห่งนี้
ผมก็ได้พูดคุยกับน้องเค้าบ้างนะครับ นอกเหนือจากการสู้รบตบมือกับลูกค้าหลากชาติแล้ว น้องเค้ายังต้องทำยอดขายด้วย เช่น บางครั้งน้องเค้าก็ขอร้องให้ผมช่วยซื้อน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งซึ่งวันนี้ต้องการให้ได้ 20 ขวด ไม่เช่นนั้นจะโดนหักเงินเดือน หรือไม่ก็สัปดาห์นี้ต้องมียอดขายรวมมากกว่า 7 หมื่น ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความกดดันนะครับ เงินเดือนของน้องๆเค้าก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย อาจจะได้แค่ชั่วโมงละ 30 กว่าบาทหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่เราก็อยากให้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานได้ไร้ที่ติ และสุภาพ
ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ไปจ้างศาสตราจารย์ปริญญาเอกมาขายเถอะครับ แต่คงจ้างไม่ได้ด้วยเงิน 30 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน
"สำหรับผมน้องเค้าก็เป็นชาว AIT คนหนึ่ง ผมคิดว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ช่วยเหลือกัน คุยกันได้ และพร้อมที่จะให้อภัยกันได้เสมอ"
เมื่อเร็วๆนี้น้องเค้าก็โดนชาวต่างชาติและคนไทยติเตียนอีกรอบด้วยเรื่องที่น่าจะให้อภัยกันได้ คราวนี้ได้เรื่องเลยทีเดียว น้องเค้าต้องออกจากงานครับ คำว่าออกจากงานคือ โดนไล่ออกนะครับไม่ได้ถูกย้ายไปสาขาอื่น ซึ่งน้องเค้าจะทำงานวันที่ 10 มิถุนายน นี้เป็นวันสุดท้าย วันนี้ผมไปซื้อของก็เห็นน้องเค้าน้ำตาซึมและดูเศร้ามาก ซึ่งผมก็เสียใจกับน้องเค้าจริงๆ
หลังจากวันที่ 10 น้องเค้าจะไปทำอะไรครับ?
จะหางานใหม่ได้หรือไม่ก็ไม่มีใครรู้?
แล้วน้องเค้าต้องมีใครให้เลี้ยงดูหรือเปล่า?
มีใครเคยคิดบ้างไหมว่าคำพูดและการกระทำของเราทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน?
เราเห็นแก่ประโยชน์และความพอใจของตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่นหรือไม่?
บางคนอาจจะคิดว่าทำอาชีพบริการทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็คิดว่าถูกครับ แต่น้องเค้าก็กำลังปรับตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น
การให้อภัยและมองข้ามความผิดพลาดเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าทำให้คนอื่นเค้ามอง AIT ว่าเป็น "สถาบันของปัญญาชนใจแคบ" เลยครับ
No comments:
Post a Comment